ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (9 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ทำลายความหวังที่จะเห็นสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงทางการค้าในเร็วๆ นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,287.44 จุด ลดลง 90.75 จุด หรือ -0.34% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,918.65 จุด ลดลง 19.44 จุด หรือ -0.66% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,959.14 จุด ลดลง 80.02 จุด หรือ -1.00%
หุ้น 8 จาก 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง โดยกลุ่มเทคโนโลยี และ กลุ่มพลังงาน ร่วงลงมากที่สุด 1.25% ขณะที่กลุ่มเฮลธ์ แคร์ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บวก 0.18% และ 0.07% ตามลำดับ
ตลาดปรับตัวลง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าววานนี้ว่า สหรัฐจะตัดความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ แต่กรณีนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลง หากสหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับจีน
"เรากำลังเจรจาการค้ากับจีน และเรายังไม่พร้อมทำข้อตกลง แต่เราจะดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป" ปธน.ทรัมป์กล่าว
ด้านนักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะยังคงยืดเยื้อต่อไป และไม่มีแนวโน้มที่ทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงกันได้ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้า
"ข่าวที่ออกมานับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขู่เรียกเก็บภาษีต่อสินค้าจีนเพิ่มขึ้น ได้บ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนต่างมีจุดยืนที่แข็งกร้าว และเราไม่คาดว่าทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้า" นายแจน แฮตซิอุซ หัวหน้านักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ระบุในรายงาน
"ก่อนหน้านี้ เราคาดการณ์ว่า ปธน.ทรัมป์หวังบรรลุข้อตกลงเพื่อทำให้เขามีความได้เปรียบในการเลือกตั้งปีหน้า แต่ตอนนี้เราไม่คาดว่า เขามีมุมมองเช่นนั้น" รายงานระบุ
โกลด์แมน แซคส์ยังเปิดเผยด้วยว่า มีรายงานระบุว่า เจ้าหน้าที่จีนมีท่าทีแข็งกร้าวในการเจรจา และหวังที่จะรอจนกว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะเสร็จสิ้นในปีหน้า ก่อนที่จะทำการคลี่คลายข้อพิพาททางการค้า ซึ่งเรื่องนี้ทำให้สหรัฐและจีนจึงไม่มีแนวโน้มที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าในเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดัน หลังจากสื่อรายงานว่า ทำเนียบขาวได้ชะลอการตัดสินใจเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตให้กับบริษัทสหรัฐที่ต้องการทำธุรกิจกับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ หลังจากจีนได้ระงับการซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐ
ทั้งนี้ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนรุนแรงขึ้น นับตั้งแต่ปธน.ทรัมป์ระบุว่า เขาจะเก็บภาษีนำเข้า 10% จากสินค้าจีนวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์ในวันที่ 1 ก.ย.นี้ และกระทรวงการคลังสหรัฐได้ระบุอย่างเป็นทางการว่า จีนเป็นประเทศที่ปั่นค่าเงิน ขณะที่จีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการปล่อยให้หยวนอ่อนค่าลงต่ำกว่าระดับ 7 หยวนต่อดอลลาร์ แตะระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี และรัฐบาลจีนยังได้สั่งให้บริษัทของรัฐระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ
ราคาหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิพดิ่งลงจากข่าวที่ว่า สหรัฐยังคงจำกัดการทำธุรกิจของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ โดยราคาหุ้นสกายเวิร์คส โซลูชันส์ และ หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ปิดร่วงลง 3.43% และ 2.6% ตามลำดับ
ราคาหุ้นของบริษัทอูเบอร์ เทคโนโลยีส์ อิงค์ ดิ่งลง 6.8% หลังจากที่บริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ที่น่าผิดหวัง โดยอูเบอร์ ระบุว่า บริษัทมีตัวเลขขาดทุน 5.24 พันล้านดอลลาร์ หรือ 4.72 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 3.12 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่บริษัทมีรายได้ 3.17 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 3.36 พันล้านดอลลาร์
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย. และ เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI เพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.7% เช่นกันในเดือนมิ.ย.
ดัชนี PPI ได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของราคาพลังงาน
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี PPI จะเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค.เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบรายปี
ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหาร, พลังงาน และภาคบริการ ลดลง 0.1% ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.2558 หลังจากทรงตัวในเดือนมิ.ย. และ เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.7% หลังจากพุ่งขึ้น 2.1% ในเดือนมิ.ย.