ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (9 ส.ค.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของค่าเงินปอนด์ หลังข้อมูลบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจอังกฤษหดตัวลงในไตรมาส 2 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2555 นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในอิตาลี และความวิตกอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งด้านการค้าที่รุนแรงขึ้น
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,253.85 จุด ลดลง 32.05 จุด หรือ -0.44%
ตลาดปรับตัวลง หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกษเปิดเผย ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2 ปี 2562 ของอังกฤษ หดตัวลง 0.2% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ GDP หดตัวลงมาจากภาคการผลิต ที่ดิ่งลงถึง 2.3% เมื่อเทียบรายไตรมาส ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวลงมากสุดนับแต่ไตรมาสแรกของปี 2552
เศรษฐกิจอังกฤษหดตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปลายปี 2555 ซึ่งสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สกุลเงินปอนด์อ่อนค่าลงต่ำกว่า 1.21 ดอลลาร์แล้ว
บรรดานักลงทุนวิตกกับความปั่นป่วนทางการเมืองในอิตาลีด้วย หลังนายมัตเตโอ ซัลวินี รองนายกรัฐมนตรีอิตาลี เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งก่อนกำหนด ส่งผลให้รัฐบาลอิตาลีใกล้เผชิญกับภาวะวิกฤต
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ทำลายความหวังที่จะเห็นสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงทางการค้าในเร็วๆ นี้ โดยเขาระบุว่า สหรัฐจะตัดความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ แต่กรณีนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลง หากสหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับจีน
ส่วนเงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.2055 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2133 ดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสบดี
หุ้นลบในตลาดหุ้นอังกฤษ นำโดยหุ้นแอนโทฟากัสตา ร่วง 4.65% และหุ้นเอ็นเอ็มซี เฮลธ์ ร่วงลง 3.44%