ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ส.ค.) หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศชะลอการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งเป็นสองยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลก และยังช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นของบริษัทที่เข้าไปลงทุนจำนวนมากในประเทศจีน เช่น แอปเปิล และอินเทล
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,279.91 จุด เพิ่มขึ้น 372.54 จุด หรือ +1.44% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,926.32 จุด เพิ่มขึ้น 43.23 จุด หรือ +1.50% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,016.36 จุด เพิ่มขึ้น 152.95 จุด หรือ +1.95%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นหลังจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ประกาศชะลอการเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนออกไปเป็นวันที่ 15 ธ.ค. จากเดิมที่มีกำหนดในวันที่ 1 ก.ย. โดยสินค้าที่ได้รับการชะลอการจัดเก็บภาษี ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ คอนโซลวิดีโอเกม ของเล่น จอมอนิเตอร์ รองเท้า และเสื้อผ้า
นอกจากนี้ USTR ยังประกาศถอดสินค้าบางประเภทออกจากบัญชีรายการสินค้าของจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษีครั้งใหม่ โดยระบุถึงปัจจัยด้านสุขภาพ, ความปลอดภัย และความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งสินค้าดังกล่าวจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีก 10%
ทั้งนี้ การประกาศดังกล่าวของ USTR มีขึ้นเมื่อวานนี้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนมีกำหนดเจรจาการค้าในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า การที่เขาตัดสินใจชะลอการเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนออกไปเป็นวันที่ 15 ธ.ค. เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของชาวสหรัฐในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและผู้ผลิตชิพดีดตัวขึ้นขานรับข่าวสหรัฐชะลอการเก็บภาษีสินค้าจีน โดยหุ้นแอปเปิล ทะยานขึ้น 4.2% หุ้นอินเทล พุ่งขึ้น 2.7% หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นบรอดคอม ดีดตัวขึ้น 2.9% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี พุ่งขึ้น 4.8% หุ้น Nvidia ทะยานขึ้น 3.04% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 2.07% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล เพิ่มขึ้น 1.9% หุ้นเน็ตฟลิตซ์ เพิ่มขึ้น 0.47% หุ้นอเมซอนดอทคอม พุ่งขึ้น 2.2%
หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคได้รับแรงหนุนจากข่าวดังกล่าวเช่นกัน โดยหุ้นไนกี้ พุ่งขึ้น 2% หุ้นพร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) เพิ่มขึ้น 1.05% หุ้นเป๊ปซี่โค เพิ่มขึ้น 1.2% หุ้นโคคา-โคลา เพิ่มขึ้น 0.5% หุ้นฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชันแนล พุ่งขึ้น 1.8% ส่วนหุ้นแฮสโบร และหุ้นแมทเทล ซึ่งเป็นสองผู้ผลิตของเล่นรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 2.7% และพุ่งขึ้น 4.6% ตามลำดับ
หุ้นซีบีเอส คอร์ป และหุ้นเวียคอม อิงค์ พุ่งขึ้น 1.4% และ 2.4% ตามลำดับ หลังจากสื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ทั้งสองบริษัทได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ และจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ชื่อว่า เวียคอมซีบีเอส อิงค์
หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้น JD.com และหุ้น NetEase พุ่งขึ้น 12.89% และ 10.93% ตามลำดับ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนก.ค.
ขณะที่สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมปรับตัวขึ้น 1.4 จุด สู่ระดับ 104.7 ในเดือนก.ค.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนก.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือนก.ค., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนส.ค. จากเฟดนิวยอร์ก, ดัชนีการผลิตเดือนส.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนส.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนมิ.ย.