ดัชนีดาวโจนส์พลิกพุ่งขึ้นกว่า 200 จุดในวันนี้ นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน ตามราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้น
ณ เวลา 23.26 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,981.74 จุด บวก 203.84 จุด หรือ 0.79%
สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI พุ่งขึ้นกว่า 2% ทะลุ 56 ดอลลาร์ในวันนี้ ขานรับสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
ณ เวลา 22.44 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนต.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEX เพิ่มขึ้น 1.19 ดอลลาร์ หรือ 2.17% สู่ระดับ 56.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
อย่างไรก็ดี แม้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นในวันนี้ แต่ก็ได้ดิ่งลง 4% จากต้นเดือนนี้ ท่ามกลางความกังวลที่ว่า การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงถึง 10 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 2.1 ล้านบาร์เรล
EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 388,000 บาร์เรล
อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ หลังเกิดภาวะ inverted yield curve อย่างต่อเนื่องในตลาดพันธบัตรสหรัฐ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังคงปรับตัวลงในวันนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปี ยังคงปรับตัวต่ำกว่าระดับ 2.00% โดยแตะระดับ 1.906% ในวันนี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากทำสถิติต่ำสุดก่อนหน้านี้ที่ระดับ 1.916% ในช่วงต้นเดือนนี้
นอกจากนี้ ตลาดพันธบัตรสหรัฐยังคงเกิดภาวะ inverted yield curve โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี อยู่สูงกว่าพันธบัตรอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ ตลาดพันธบัตรสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve หลายครั้งในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนวิตกว่า การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว
นักลงทุนยังคงจับตาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ขณะที่ใกล้ถึงวันอาทิตย์นี้ที่ทั้งสองฝ่ายมีกำหนดขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน โดยสหรัฐจะเรียกเก็บภาษี 15% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนประกาศเก็บภาษี 5-10% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในการเก็บภาษี 2 รอบ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย. และ 15 ธ.ค.