ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (3 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของกระบวนการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) แบบไร้ข้อตกลง และกังวลกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกด้วย หลังสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจภาคการผลิตที่อ่อนแอ
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,268.19 จุด ลดลง 13.75 จุด หรือ -0.19%
ตลาดถูกกดดัน เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ Brexit โดยล่าสุดสมาชิกรัฐสภาสังกัดพรรคฝ่ายค้านของอังกฤษ รวมทั้งสมาชิก 21 รายที่แปรพักตร์จากพรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ประสบความสำเร็จในการลงมติด้วยคะแนนเสียง 328 ต่อ 301 เสียง ในการเข้าควบคุมกระบวนการนิติบัญญัติของรัฐสภา
ความพ่ายแพ้ของพรรครัฐบาลอังกฤษจะทำให้ฝ่ายค้านสามารถสกัดความพยายามของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรี ในการนำอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ในวันที่ 31 ต.ค. โดยไม่มีการทำข้อตกลง
ทั้งนี้ สภาสามัญชนจะทำการอภิปรายร่างกฎหมายป้องกันการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (EU) โดยไม่มีการทำข้อตกลงในวันพุธนี้ ซึ่งหากร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากสภา ก็จะเป็นการกดดันให้นายจอห์นสันร้องขอต่อ EU เพื่อขยายกำหนดเส้นตายในการแยกตัวของอังกฤษออกจาก EU เป็นวันที่ 31 ม.ค.2563 จากเดิมวันที่ 31 ต.ค.นี้ นอกเสียจากว่า นายจอห์นสันจะสามารถยื่นข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่เข้าสู่รัฐสภา และได้รับการอนุมัติภายในวันที่ 19 ต.ค.
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก หลังการเปิดเผยผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ที่ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 49.1 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2559 จากระดับ 51.2 ในเดือนก.ค. โดยดัชนีที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของภาคการผลิตของสหรัฐ ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2559 หลังจากที่มีการขยายตัวติดต่อกัน 36 เดือน
หุ้นลบนำตลาดได้แก่ หุ้นออโต้ เทรดเดอร์ กรุ๊ป และ หุ้นดีเอส สมิธ ร่วง 4.51% และ 3.48% ตามลำดับ ขณะที่หุ้นจัส อีต ลบ 2.76%, หุ้นมอร์ริสัน ลดลง 1.41% และ หุ้นมาร์คส แอนด์ สเปนเซอร์ ปรับตัวลง 1.50%