ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 400 จุดในวันนี้ หลังจากที่จีนยืนยันเข้าร่วมเจรจาการค้ากับสหรัฐในเดือนหน้า
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนคลายความวิตกต่อสถานการณ์การเมืองในฮ่องกงและอังกฤษ
ณ เวลา 21.03 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,788.47 จุด บวก 433.00 จุด หรือ 1.64%
กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ได้ทำการสนทนาทางโทรศัพท์กับนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ และนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันเกี่ยวกับการจัดการเจรจาการค้ารอบต่อไปที่กรุงวอชิงตันในช่วงต้นเดือนหน้า ขณะที่เจ้าหน้าที่ของสหรัฐและจีนจะทำการปรึกษาหารือกันในช่วงกลางเดือนนี้เพื่อเตรียมการประชุมดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ซิตี้กรุ๊ป สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ออกรายงานระบุว่า ทางบริษัทไม่คาดว่าการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะสิ้นสุดลง ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย.ปีหน้า
มุมมองของซิตี้กรุ๊ปถือว่าแตกต่างจากสถาบันการเงินแห่งอื่นๆ ซึ่งคาดว่าสหรัฐและจีนน่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้า ขณะที่ยูบีเอสคาดว่า ทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงก่อนปี 2563
ซิตี้กรุ๊ปยังคาดการณ์ว่า ขณะที่การทำสงครามการค้าดำเนินไป เศรษฐกิจสหรัฐก็จะทรุดตัวลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ซิตี้กรุ๊ปยังได้ปรับลดอันดับความน่าลงทุนในหุ้นสหรัฐ สู่ 'neutral' จากเดิมที่ 'overweight'
นักลงทุนคลายความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองในฮ่องกง หลังจากที่นางแคร์รี ลัม ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ได้ประกาศถอนร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีนอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้
ขณะเดียวกัน นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับการที่อังกฤษอาจแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปโดยไม่มีการทำข้อตกลง หรือ "no-deal Brexit" หลังจากที่สมาชิกรัฐสภาอังกฤษได้อนุมัติร่างกฎหมายป้องกัน "no-deal Brexit" เมื่อคืนนี้ ขณะที่นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประสบความล้มเหลวในความพยายามที่จะยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งขึ้นเมื่อวานนี้ และในวันนี้ แต่สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ดัชนีดาวโจนส์มักปรับตัวย่ำแย่ในเดือนก.ย.
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก "Stock Trader's Almanac" ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2493 เดือนก.ย.เป็นเดือนที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวย่ำแย่ที่สุดของปี
โดยในช่วงเกือบ 70 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงเฉลี่ย 0.5% ในเดือนก.ย.
ส่วนสำนักข่าว CNBC รายงานว่า Kensho ซึ่งเป็นระบบวิเคราะห์ข้อมูลตลาด บ่งชี้ว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเฉลี่ย 0.75% ในเดือนก.ย. และดัชนีสามารถปรับตัวในแดนบวกในช่วงเวลาเพียง 47% ในเดือนดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ข้อมูลของ Kensho แสดงว่า หุ้นกลุ่มสื่อสาร และกลุ่มธุรกิจดูแลสุขภาพมักปรับตัวได้ดีในเดือนก.ย.
นอกจากนี้ ข้อมูลยังบ่งชี้ว่า นักลงทุนควรหันไปถือครองทองในเดือนก.ย. เนื่องจากราคาทองเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.7% ในเดือนดังกล่าวในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา และปรับตัวเป็นบวกในช่วงเวลา 66% ของเดือนดังกล่าว
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐพุ่งขึ้น 195,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 128,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าการจ้างงานของภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้นเพียง 140,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค.
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ระดับ 217,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สุงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 215,000 ราย
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 1,500 ราย สู่ระดับ 216,250 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
กระทรวงแรงงานสหรัฐยังเปิดเผยว่า ประสิทธิภาพในการผลิตของแรงงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐชะลอตัวสู่ระดับ 2.3% ในไตรมาส 2 หลังจากแตะระดับ 3.5% ในไตรมาสแรก เมื่อเทียบรายไตรมาส
การชะลอตัวของประสิทธิภาพในการผลิตของแรงงานในไตรมาส 2 ได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของประสิทธิภาพในภาคการผลิต ซึ่งดิ่งลงแตะระดับ 2.2% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี
ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า ในวันพรุ่งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 150,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.7%
เมื่อเดือนที่แล้ว กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 164,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 165,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับ 3.7% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 3.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี