ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกเมื่อคืนนี้ (9 ก.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่เริ่มส่งสัญญาณเชิงบวก รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบเนื่องจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพและกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,835.51 จุด เพิ่มขึ้น 38.05 จุด หรือ +0.14% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,978.43 จุด ลดลง 0.28 จุด หรือ -0.01% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,087.44 จุด ลดลง 15.64 จุด หรือ -0.19%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากสื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำลังพิจารณาเลื่อนการเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนที่มีกำหนดในวันที่ 15 ธ.ค. ซึ่งรวมถึงคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป สมาร์ทโฟน และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ
ทางด้านนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐและจีนมีความคิดเห็นร่วมกันเกี่ยวกับการบังคับใช้กลไกในการป้องกันการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา หลังจากที่ผ่านมา ประเด็นดังกล่าวได้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ และคาดว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้นขานรับการค้าสหรัฐและจีนที่ส่งสัญญาณเชิงบวก โดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ พุ่งขึ้น 3.7% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ดีดขึ้น 0.3% หุ้นอีตัน คอร์ป พุ่งขึ้น 1.9% หุ้น 3M พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก พุ่งขึ้น 2.4%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 2.67% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส เพิ่มขึ้น 2.48% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ทะยานขึ้น 4.2% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 3.2%
หุ้น AT&T พุ่งขึ้น 1.5% หลังจากเอลเลียต แมเนจเมนต์ ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของนายพอล ซิงเกอร์ แถลงว่า ทางกองทุนได้เข้าถือหุ้น 3.2 พันล้านดอลลาร์ใน AT&T เพื่อปรับปรุงธุรกิจของบริษัท
หุ้นแอปเปิล ปรับตัวขึ้น 0.4% ก่อนที่บริษัทแอปเปิล อิงค์ จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ iPhone รุ่นใหม่ในวันอังคารที่ 10 ก.ย.นี้ ขณะที่สื่อคาดการณ์ว่า แอปเปิลจะเปิดตัว iPhone ใหม่ 3 รุ่นในงานดังกล่าว โดยเป็น iPhone รุ่น Pro 2 รุ่น ซึ่งจะมาแทนที่ iPhone XS และ iPhone XS MAX โดยจะใช้ชื่อว่า iPhone 11 และ iPhone 11 MAX ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง นำโดยหุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 1.1% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ลดลง 0.8% หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (เอเอ็มดี) ปรับตัวลง 0.2%
ส่วนหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพร่วงลงเช่นกัน โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพปรับตัวลง 0.92% ขณะที่หุ้นเมดโทรนิค ลดลง 0.7% หุ้นโมลินา เฮลธ์แคร์ ลดลง 0.8% หุ้นแอมเจน ร่วงลง 2.6%
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมเดือนส.ค.จากสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB), ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนก.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค., ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค.