ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (16 ก.ย.) เนื่องจากการพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงของราคาน้ำมันดิบหลังจากเกิดเหตุโจมตีโรงงานน้ำมันในซาอุดีอาระเบียนั้น ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกว่า เหตุการณ์โจมตีครั้งนี้อาจส่งผลให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,076.82 จุด ลดลง 142.70 จุด หรือ -0.52% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,997.96 จุด ลดลง 9.43 จุด หรือ -0.31% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,153.54 จุด ลดลง 23.17 จุด หรือ -0.28%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์โจมตีโรงงานน้ำมันสองแห่งในเขตอับกาอิก (Abqaiq) และคูราอิส (Khurais) ถูกโจมตีด้วยโดรนจนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงลุกไหม้เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยโรงงานทั้งสองแห่งเป็นของบริษัทซาอุดี อารามโค ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย
เหตุการณ์โจมตีโรงงานน้ำมันในครั้งนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นเกือบ 15% เมื่อคืนนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และอาจนำไปสู่การตอบโต้กันในตะวันออกกลาง โดยรายงานล่าสุดระบุว่า สหรัฐได้ออกมาเรียกร้องให้นานาชาติรวมตัวกันเพื่อตอบโตอิหร่าน เพราะเชื่อว่า อิหร่านอยู่เบื้องหลังการโจมตีโรงงานน้ำมันในครั้งนี้
หุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มผู้ประกอบการเดินเรือร่วงลงเนื่องจากความกังวลที่ว่า การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันอาจจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงาน โดยหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ส ดิ่งลง 7.3% หุ้นเจ็ทบลู แอร์เวย์ส ร่วงลง 3.05% หุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล ร่วงลง 2.8% หุ้นคาร์นิวัล คอร์ป ดิ่งลง 3.2% หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูซ ลดลง 0.8% หุ้นนอร์เวย์เจียน ครูซ ไลน์ โฮลดิ้ง ร่วงลง 2.45%
นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันยังได้ฉุดหุ้นกลุ่มผู้ผลิตวัสดุและกลุ่มสินค้าผู้บริโภคร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอร์แรน ร่วงลง 2.7% หุ้นวัลแคน มาเทเรียลส์ ร่วงลง 1.3% หุ้นซีลด์ แอร์ คอร์ป ดิ่งลง 4.9% หุ้นอัลโค อิงค์ ร่วงลง 1.4% ส่วนหุ้นในกลุ่มสินค้าผู้บริโภคนั้น หุ้นพร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) ร่วงลง 1.9% หุ้นเป๊ปซี่โค ลดลง 1.14% หุ้นโคคา-โคลา ลดลง 0.5%
หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ร่วงลง 4.25% หลังจากพนักงานในสังกัดสหภาพแรงงานประกาศผละงานประท้วง อันเนื่องมาจากการเจรจาเรื่องค่าจ้างและสวัสดิการของแรงงานกับฝ่ายบริหารของบริษัท ประสบความล้มเหลว
หุ้นบริษัทผลิตอาวุธรายใหญ่ของสหรัฐพุ่งขึ้น หลังจากเจพีมอร์แกนได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ "overweight" โดยหุ้นนอร์ทธอร์ป กรัมแมน หุ้นล็อคฮีด มาร์ติน และหุ้นเรย์ธีออน คอร์ป ต่างก็พุ่งขึ้นกว่า 2%
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ โดยหุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 1.5% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ทะยานขึ้น 6.1% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 10.9% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 16.06% หุ้นอาปาเช คอร์ป ทะยานขึ้น 16.9%
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เช่นกันในการประชุมรอบที่แล้วในวันที่ 30-31 ก.ค. ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.2551
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.ย.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนส.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนก.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 2/2562, ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค. และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนส.ค.จาก Conference Board