ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (26 ก.ย.) เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับทิศทางการเมืองในสหรัฐ หลังมีการเผยแพร่รายงานของผู้แจ้งเบาะแสซึ่งกล่าวหาว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใช้อำนาจในทางมิชอบเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่ชะลอตัวลงในไตรมาส 2
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,891.12 จุด ลดลง 79.59 จุด หรือ -0.30% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,977.62 จุด ลดลง 7.25 จุด หรือ -0.24% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,030.66 จุด ลดลง 46.72 จุด หรือ -0.58%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในสหรัฐ หลังจากคณะกรรมาธิการข่าวกรองประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้เผยแพร่รายงานของผู้แจ้งเบาะแสรายหนึ่งที่ได้กล่าวโทษปธน.ทรัมป์กรณีติดต่อรัฐบาลต่างชาติเพื่อให้แทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐ โดยรายงานระบุว่า ปธน.ทรัมป์ได้ใช้อำนาจในขณะดำรงตำแหน่งเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลต่างชาติเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2563
รายงานฉบับนี้ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการที่ปธน.ทรัมป์ได้โทรศัพท์หานายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ซึ่งปธน.ทรัมป์ได้กดดันให้นายเซเลนสกีทำการสอบสวนนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ และบุตรชายของเขา ซึ่งมีการทำธุรกิจในยูเครน
ทั้งนี้ นายไบเดนเป็นหนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต และถือเป็นคู่แข่งคนสำคัญของปธน.ทรัมป์ หากปธน.ทรัมป์ประสบความสำเร็จในการสกัดนายไบเดนออกจากการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ก็มีแนวโน้มสูงที่ทรัมป์จะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกสมัย
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 ของตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 2/2562 ที่ระดับ 2.0% ซึ่งชะลอตัวลงจากไตรมาส 1 ที่มีการขยายตัว 3.1% และ 2.6% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 3,000 ราย สู่ระดับ 213,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 212,000 ราย
อย่างไรก็ดี การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ส่งสัญญาณด้านบวกนั้นได้ช่วยสกัดปัจจัยลบในตลาดได้ในระดับหนึ่ง โดยนายเกา เฟิง โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน เปิดเผยล่าสุดว่า บริษัทจีนได้ทำข้อตกลงในการสั่งซื้อถั่วเหลืองและเนื้อสุกรจำนวนมากจากสหรัฐ โดยคำแถลงของนายเกามีขึ้นหลังจากที่แหล่งข่าวระบุก่อนหน้านี้ว่า จีนได้สั่งนำเข้าถั่วเหลืองจำนวน 600,000 ตันจากสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณบวกต่อการบรรลุข้อตกลงการค้าในการเจรจาในระดับรัฐมนตรีระหว่างสหรัฐและจีนที่จะมีขึ้นในเดือนหน้า
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 2.7% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 0.5% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ลดลง 0.7% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ลดลง 0.9%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและผู้ผลิตชิพร่วงลง โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ดิ่งลง 1.5% หุ้นอเมซอนดอทคอม ร่วงลง 1.6% หุ้นอินเทล ลดลง 0.2% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ลดง 0.5% หุ้น Nvidia ลดลง 0.5% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ลดลง 0.3%
หุ้น defensive stocks เช่นหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มสินค้าผู้บริโภคซึ่งเป็นหุ้นที่ปลอดภัยและสามารถต้านทานวัฏจักรทางเศรษฐกิจได้ดีนั้น ได้รับแรงซื้อส่งเข้าหนุน โดยหุ้นดุ๊ค เอนเนอร์จี เพิ่มขึ้น 0.2% หุ้นคอนโซลิเดทเต็ด เอดิสัน อิงค์ เพิ่มขึ้น 0.7% ส่วน หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคนั้น หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) พุ่งขึ้น 1.05% หุ้นเป๊ปซี่โค เพิ่มขึ้น 0.5% หุ้นโคคา-โคลา เพิ่มขึ้น 0.41%
หุ้นบียอนด์ มีท ผู้ผลิตเนื้อวัวรายใหญ่ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 11.58% หลังจากแมคโดนัลด์เปิดเผยว่า ร้านแมคโดนัลด์ 28 แห่งในแคนาดาจะเริ่มทดลองนำผลิตภัณฑ์เนื้อวัวของบียอนด์ มีท มาทำแฮมเบอร์เกอร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากลดลง 2.5% ในเดือนก.ค.
ส่วนในวันนี้ สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค., การใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนส.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน