ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในวันนี้ โดยเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 วัน หลังจากมีข่าวว่า จีนพร้อมทำข้อตกลงการค้าบางส่วนกับสหรัฐ
ณ เวลา 20.50 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,339.67 จุด บวก 175.63 จุด หรือ 0.67%
สหรัฐและจีนจะเจรจาการค้าในระดับรัฐมนตรีในวันที่ 10-11 ต.ค.นี้ ที่กรุงวอชิงตัน โดยนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน จะเป็นผู้นำคณะเจรจาการค้าของจีน ขณะที่ฝ่ายสหรัฐนำโดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR)
สื่อรายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนไม่ต้องการทำข้อตกลงการค้าในวงกว้างตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต้องการ โดยนายหลิว เหอ กล่าวว่า ข้อเสนอของเขาต่อทางสหรัฐจะไม่รวมถึงคำมั่นสัญญาของรัฐบาลจีนในการปฏิรูปนโยบายอุตสาหกรรม หรือการให้เงินอุดหนุนของภาครัฐ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จีนพร้อมที่จะหารือเกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้าบางส่วนกับสหรัฐ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จีนรายหนึ่งกล่าวว่า จีนพร้อมที่จะเจรจาเกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้า ตราบใดที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ได้เพิ่มการจัดเก็บภาษีต่อจีน ซึ่งรวมถึงแผนการเพิ่มอัตราภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนที่มีกำหนดในเดือนนี้ และเดือนธ.ค.
นอกจากนี้ บลูมเบิร์กยังรายงานว่า จีนจะเสนอซื้อสินค้าเกษตรสหรัฐเป็นการตอบแทน
เจ้าหน้าที่จีนกล่าวว่า คณะผู้เจรจาไม่คาดว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงการค้าในวงกว้างซึ่งจะยุติความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ระบุว่า เจ้าหน้าที่จีนจะยื่นข้อเสนอที่จะซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐเพิ่มขึ้นอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าบางส่วน
"คุณหลิว เหอมาพร้อมกับข้อเสนอ เขาไม่ได้มามือเปล่า ทางฝ่ายจีนพร้อมที่จะลดความตึงเครียดในการเจรจา" แหล่งข่าวระบุ
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 17-18 ก.ย.ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมของเฟดในปลายเดือนนี้
ตลาดคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 29-30 ต.ค.นี้ หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอในภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐ โดยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน รวมทั้งการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาดในเดือนก.ย. แม้อัตราการว่างงานแตะระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี
นอกจากนี้ การเปิดเผยตัวเลขดัชนี PPI ที่ชะลอตัวในเดือนก.ย. ก็เป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 85% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนนี้