ดัชนีดาวโจนส์เปิดแดนลบในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกลับมากังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐกับจีนอีกครั้ง หลังมีรายงานว่าจีนต้องการคุยเพิ่มก่อนเซ็นข้อตกลงขั้นแรกกับสหรัฐ ซึ่งทำให้นักลงทุนรู้สึกไม่แน่ใจเกี่ยวกับการทำข้อตกลงระหว่างสองประเทศว่าจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่
ณ เวลา 20.52 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,793.27 จุด ลดลง 23.32 จุด หรือ -0.09%
นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายในช่วงเปิดตลาดวันนี้ หลังมีรายงานว่า จีนต้องการเจรจาเพิ่มเติมกับสหรัฐอีกอย่างเร็วที่สุดในช่วงปลายเดือนต.ค.นี้ เพื่อสรุปรายละเอียดของข้อตกลงการค้าขั้นแรกก่อนที่ผู้นำทั้งสองจะลงนามร่วมกัน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ทางฝั่งจีนอาจส่งคณะผู้แทนเจรจา ซึ่งนำโดยรองนายกรัฐมนตรี หลิว เหอ ไปสรุปข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ผู้นำทั้งสองประเทศลงนามร่วมกันได้ในการประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปค) ในเดือนหน้าที่ประเทศชิลี
ขณะที่แหล่งข่าวระบุด้วยว่า จีนยังต้องการให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ล้มเลิกแผนการขึ้นภาษีนำเข้าในเดือนธ.ค.ด้วย นอกเหนือไปจากที่เสนอว่าจะยกเลิกการขึ้นภาษีตามกำหนดการในสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ สหรัฐมีกำหนดเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 30% ในวันที่ 15 ต.ค. จากเดิมที่ระดับ 25% และมีกำหนดเก็บภาษี 15% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 1.6 แสนล้านดอลลาร์ ในวันที่ 15 ธ.ค.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับข่าวสหรัฐและจีนประกาศข้อตกลงการค้าบางส่วน หลังปธน.ทรัมป์เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวหลังการเจรจากับนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีนว่า สหรัฐและจีนได้บรรลุข้อตกลงการค้าที่สำคัญขั้นแรก โดยบรรลุข้อตกลงในด้านทรัพย์สินทางปัญญา บริการทางการเงิน และการซื้อสินค้าเกษตรจำนวนมาก
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนและสหรัฐมีความคืบหน้าอย่างมากในหลายๆ ด้าน หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ 2 ประเทศได้หารือกันด้านเศรษฐกิจและการค้ารอบล่าสุดในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ที่ผ่านมา
ตลาดมองว่า ข้อตกลงบางส่วนขั้นต้นนี้นับเป็นความคืบหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการแก้ไขข้อพิพาทด้านภาษีระหว่างสองประเทศ อย่างไรก็ดี รายงานข่าวล่าสุดที่ระบุว่า จีนต้องการเจรจาเพิ่มเติมนั้น ทำให้นักลงทุนเริ่มไม่แน่ใจว่าการลงนามข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ และส่งผลให้นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายเพื่อรอดูสถานการณ์คืบหน้าต่อไป
ขณะเดียวกัน ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วงเปิดตลาดวันแรกของสัปดาห์ยังได้รับแรงกดดันส่วนหนึ่งจากข้อมูลเศรษฐกิจของจีนที่บ่งชี้ว่า สงครามการค้าเริ่มส่งผลกระทบ โดยสำนักงานศุลกากรจีนเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดส่งออกของจีนร่วงลง 3.2% ในเดือนก.ย. โดยการส่งออกไปยังสหรัฐหดตัวลงถึง 22% ขณะนำเข้าจากสหรัฐลดลงเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน ส่งผลให้ยอดเกินดุลการค้าของจีนกับสหรัฐหดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ยอดเกินดุลการค้าของจีนกับทั่วโลก ปรับตัวขึ้นแตะ 3.965 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. จาก 3.48 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. เนื่องจากนำเข้าหดตัวมากกว่าส่งออก
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาความคืบหน้าในการเจรจา Brexit ระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรป หลังจากที่มีความหวังเพิ่มมากขึ้นว่าอาจมีการบรรลุข้อตกลงระหว่างสองฝ่าย สืบเนื่องจากการเจรจาที่ได้ผลน่าพอใจระหว่างนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ และนายกรัฐมนตรี ลีโอ วารัดคาร์ ของไอร์แลนด์ ในเรื่องศุลากากรบริเวณชายแดนระหว่างไอร์แลนด์เหนือของสหราชอาณาจักร กับสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสมาชิก EU