ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (22 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ดี นักลงทุนระมัดวังการซื้อขายและจับตาสถานการณ์ที่อังกฤษแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) หลังจากสภาล่างของอังกฤษมีมติไม่เห็นชอบต่อตารางเวลาในการผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Brexit
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,212.49 จุด เพิ่มขึ้น 48.85 จุด หรือ +0.68%
หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นนำตลาด โดยหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป ทะยานขึ้น 2%
หุ้นจัสอีท ซึ่งเป็นผู้ให้บริการจัดส่งอาหาร ทะยานขึ้น 23.9% หลังจากบริษัทโปรซุส เสนอซื้อหุ้นในบริษัทจัสอีท ราคา 710 เพนซ์ต่อหุ้น ขณะที่ข่าวดังกล่าวช่วยหนุนราคาหุ้นเทคอะเวย์ดอทคอม ซึ่งเป็นคู่แข่งของจัสอีท พุ่งขึ้น 4.7%
หุ้นสมิธ แอนด์ เนฟิว ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ร่วงลงเกือบ 5% หลังจากมีรายงานว่า นายนามาล นาวานา จะออกจากตำแหน่งผู้บริหารของบริษัท และนายโรแลนด์ ดิกเกลแมน จะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน
อย่างไรก็ดี แม้ตลาดหุ้นลอนดอนปิดตลาดในแดนบวก แต่นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ Brexit หลังจากสมาชิกสภาสามัญชน หรือสภาล่างของอังกฤษ ลงมติเห็นชอบต่อร่างกฎหมายการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป หรือ Withdrawal Agreement Bill ของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แต่ในการลงมติต่อตารางเวลาในการผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Brexit ซึ่งรัฐบาลให้เวลาเพียง 3 วันนั้น สภาล่างมีมติไม่เห็นชอบต่อตารางเวลาดังกล่าว
ทั้งนี้ สภาล่างลงคะแนนเสียง 329 เสียงเห็นชอบต่อร่างกฎหมาย Withdrawal Agreement Bill ขณะที่ 299 เสียงไม่เห็นชอบ แต่ในการลงมติต่อตารางเวลาในการผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Brexit นั้น สภาล่างลงมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงเพียง 308 เสียง ขณะที่ 322 เสียงไม่เห็นชอบ
ผลการลงมติที่ออกมาเช่นนี้ บ่งชี้ว่า อังกฤษจะไม่สามารถแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) ตามกำหนดเดิมภายในวันที่ 31 ต.ค. ส่งผลให้ EU จะต้องให้การอนุมัติขยายเส้นตาย Brexit ออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้อังกฤษแยกตัวจาก EU โดยไม่มีการทำข้อตกลง (no-deal Brexit)
นอกจากนี้ สถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้นายจอห์นสันประกาศยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่ตามคำขู่ของเขาก่อนหน้านี้