ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (28 ต.ค.) ที่ระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 22 เดือน โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์และกลุ่มเหมืองแร่ที่ปรับตัวขึ้นขานรับความหวังที่ว่า สหรัฐและจีนใกล้บรรลุข้อตกลงการค้า นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ทั้ง 27 ประเทศเห็นชอบเรื่องการขยายระยะเวลาการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ไปเป็นวันที่ 31 มกราคม 2563
ดัชนี Stoxx Europe 600 บวก 0.25% ปิดที่ 398.99 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,730.57 จุด เพิ่มขึ้น 8.42 จุด หรือ +0.15%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,941.71 จุด เพิ่มขึ้น 47.20 จุด หรือ +0.37% และ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,331.28 จุด เพิ่มขึ้น 6.81 จุด หรือ +0.09%
ตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวเมื่อวานนี้ว่า เขาอาจจะลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีนก่อนการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่จะมีขึ้นที่ประเทศชิลีในวันที่ 16-17 พ.ย. แต่เขาไม่ได้ระบุกำหนดเวลาในการลงนามที่ชัดเจน
หุ้นกลุ่มรถยนต์และกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นขานรับข่าวดังกล่าว โดยหุ้นมิชลินของฝรั่งเศส พุ่ง 4.80%, หุ้นโฟล์คสวาเกนของเยอรมนี เพิ่มขึ้น 2.18% และ หุ้นแอนโทฟากัสตาของอังกฤษ พุ่ง 3.95%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่ EU เห็นพ้องกันในการขยายกำหนดเส้นตาย Brexit เป็นวันที่ 31 ม.ค.2563 จากเดิมในวันที่ 31 ต.ค.2562 ซึ่งได้ช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับ Brexit แบบไร้ข้อตกลง
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงตามหุ้นเอชเอสบีซี ซึ่งดิ่งลง 3.7% หลังปรับลดเป้าหมายผลกำไรปี 2563
บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 29-30 ต.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25%