ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (30 ต.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง ขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณพักวงจรการปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งทำให้นักลงทุนมองว่า เฟดมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจมากพอที่จะไม่ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระยะใกล้นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,186.69 จุด พุ่งขึ้น 115.27 จุด หรือ +0.43% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 3,046.77 จุด เพิ่มขึ้น 9.88 จุด หรือ +0.33% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,303.98 จุด เพิ่มขึ้น 27.13 จุด หรือ +0.33%
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติ 8-2 เสียง ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีก 0.25% สู่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ โดยเฟดระบุว่า ตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง และกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการปรับตัวขึ้นในระดับปานกลาง
อย่างไรก็ดี เฟดส่งสัญญาณพักวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ โดยแถลงการณ์จากการประชุมครั้งนี้ เฟดได้ถอดประโยคสำคัญออก ซึ่งระบุว่า "เฟดจะดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน" โดยประโยคดังกล่าวได้ปรากฎในแถลงการณ์เฟดนับตั้งแต่การประชุมในเดือนมิ.ย.
ทางด้านนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า การที่คณะกรรมการเฟดตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ มีเป้าหมายที่จะรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐให้แข็งแกร่ง นอกจากนี้ นายพาวเวลยังได้ส่งสัญญาณพักวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งสอดคล้องกับแถลงการณ์ของคณะกรรมการ FOMC
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์สเตท สตรีท โกลบอล แอดไวเซอร์ส กล่าวว่า นักลงทุนมองว่าการที่เฟดส่งสัญญาณพักวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้น สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของเฟดที่ว่า ภาวะเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะไม่ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระยะใกล้นี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่บางแห่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) ที่เปิดเผยกำไรไตรมาส 3 ที่ระดับ 15 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 11 เซนต์/หุ้น โดยข้อมูลดังกล่าวช่วยหนุนราคาหุ้น GE ปิดตลาดทะยานขึ้น 11.4%
หุ้นแมทเทล ผู้ผลิตของเล่นรายใหญ่ของสหรัฐ ปิดตลาดพุ่งขึ้น 13.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 70.6 ล้านดอลลาร์ หรือ 20 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน พุ่งขึ้น 2.8% หลังจากบริษัทได้เปิดเผยผลการตรวจสอบครั้งใหม่ซึ่งระบุว่า ตัวอย่างแป้งเด็กจอห์นสันไม่มีแร่ใยหินปนเปื้อนตามที่สำนักงานอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐได้กล่าวอ้างผลทดสอบในช่วงก่อนหน้านี้
หุ้นแอปเปิล ปิดตลาดขยับลง 0.01% ก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการประจำเดือนก.ค.-ก.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 4 ตามปีงบการเงินของบริษัท โดยจะรวมถึงยอดขายของ iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ซึ่งมีการเปิดตัวในวันที่ 20 ก.ย.
หุ้นยัม แบรนด์ส ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของพิซซ่า ฮัท, เคนตั๊กกี ฟรายชิกเก้น (KFC) และทาโก เบล ปิดตลาดร่วงลง 5.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 80 เซนต์/หุ้น ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 94 เซนต์/หุ้น
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ WTI เมื่อคืนนี้ หลังจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นมากเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว โดยหุ้นเชฟรอน ร่วงลง 1.5% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 1.07% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 2.2% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดิ่งลง 4.6% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ร่วงลง 4.1% หุ้นอาปาเช คอร์ป ร่วงลง 3.1%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2562 ที่ระดับ 1.9% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.6% อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ที่มีการขยายตัว 2.0% และ 3.1% ในไตรมาสแรก
ขณะที่ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 125,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 100,000 ตำแหน่ง
ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนก.ย., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนต.ค., ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนต.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนต.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนต.ค.