ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (31 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อทิศทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทั้งสองฝ่ายได้ออกมาส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกัน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความอ่อนแอของภาคการผลิตทั้งในสหรัฐและจีน ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในคืนนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,046.23 จุด ลดลง 140.46 จุด หรือ -0.52% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,037.56 ลดลง 9.21 จุด หรือ -0.30% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,292.36 จุด ลดลง 11.62 จุด หรือ -0.14%
นักลงทุนวิตกกังวลและสับสนต่อสัญญาณที่ขัดแย้งกันในเรื่องการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เจ้าหน้าที่จีนมีความไม่มั่นใจเกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้าในระยะยาวกับสหรัฐ ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความเมื่อวานนี้ว่า เขาจะประกาศสถานที่ซึ่งเขาจะลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับผู้นำจีนในอีกไม่ช้า
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลภาคการผลิตที่ซบเซาของจีนและสหรัฐ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนต.ค.อยู่ที่ระดับ 49.3 ลดลงจากระดับ 49.8 ในเดือนก.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 49.8
ขณะที่ MNI Indicators เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโก ร่วงลงสู่ระดับ 43.2 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2558 จากระดับ 47.1 ในเดือนก.ย. โดยดัชนี PMI เขตชิคาโกถือเป็นดัชนีชี้นำที่สำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งคำนวณจากการผลิต, คำสั่งซื้อใหม่, การจ้างงาน และข้อมูลเกี่ยวกับการจัดส่งสินค้าของซัพพลายเออร์
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งมีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์การค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ร่วงลงเมื่อคืนนี้ หุ้นโดยหุ้นโบอิ้ง ดิ่งลง 1.8% หุ้น 3M ร่วงลง 2.01% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ร่วงลง 1.8% หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ร่วงลง 1.3% หุ้นฮันนีเวลล์ ลดลง 1.07% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก ร่วงลง 1.2% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ลดลง 0.2% หุ้นอีตัน คอร์ป ลดลง 0.5%%
หุ้นเอสเต ลอเดอร์ ผู้ผลิตเครื่องสำอางรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 3.6% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลกำไรในปีงบการเงิน 2562
อย่างไรก็ดี หุ้นของหลายบริษัทที่เปิดเผยผลประกอบการแข็งแกร่งได้ปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 1.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาส 3 ที่ระดับ 2.12 ดอลลาร์ต่อหุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.91 ดอลลาร์ต่อหุ้น
หุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 2.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาส 4/2562 ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 30 ก.ย.2562 ตามปีงบการเงินของบริษัท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นคราฟท์ ไฮนซ์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 13.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 69 เซนต์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 54 เซนต์/หุ้น
หุ้นสตาร์บัคส์ ดีดตัวขึ้น 0.4% หลังจากบริษัทยอดขายในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 5% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4%
หุ้นดังกิ้น แบรนด์ส กรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ดังกิ้น โดนัท และบาสกิ้น รอบบิ้นส์ พุ่งขึ้น 6.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 90 เซนต์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 81 เซนต์/หุ้น
หุ้นทวิตเตอร์ ขยับขึ้น 0.4% ขณะที่นักลงทุนจับตาความเคลื่อนไหวของทวิตเตอร์อย่างใกล้ชิด หลังจากนายแจ็ค ดอร์ซีย์ ซีอีโอของทวิตเตอร์เปิดเผยว่า ทวิตเตอร์จะห้ามการโฆษณาทางการเมืองบนแพลตฟอร์มของบริษัทในเดือนพ.ย. ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวได้รับการยกย่องจากพรรคเดโมแครต แต่ถูกตำหนิโดยคณะหาเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
นักลงทุนจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต.ค.ในวันนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งคาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค.จะเพิ่มขึ้นเพียง 85,000-89,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 136,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ส่วนอัตราการว่างงานคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.6% จาก 3.5% ในเดือนก.ย.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในคืนนี้ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนต.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนต.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนต.ค.