ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 พ.ย.) ท่ามกลางภาวะตลาดที่ซบเซา เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายเพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากมีสัญญาณที่บ่งชี้ทั้งในด้านบวกและด้านลบเกี่ยวกับการเจรจาของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,766.29 จุด ลดลง 54.80 จุด หรือ -0.20% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,103.54 จุด ลดลง 4.92 จุด หรือ -0.16% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,506.21 จุด ลดลง 20.52 จุด หรือ -0.24%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ เนื่องจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังไม่มีความชัดเจน โดยหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ได้เชิญนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เข้าร่วมการเจรจาการค้ารอบใหม่ที่กรุงปักกิ่ง ทางด้านเจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐพร้อมที่จะพบปะกับเจ้าหน้าที่การค้าของจีนในการเจรจาการค้ารอบใหม่ แต่ยังไม่ได้ยืนยันกำหนดวันเจรจาที่แน่นอน
ขณะที่สื่ออีกหลายแห่งรายงานว่า การที่สภาสหรัฐผ่านกฎหมายสนับสนุนสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในฮ่องกงนั้น ได้สร้างความไม่พอใจให้กับจีน และอาจจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในการเจรจาการค้าของทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกอยู่ที่ระดับ 227,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่ยอดขายบ้านมือสองเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 1.9% สู่ระดับ 5.46 ล้านยูนิต ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.47 ล้านยูนิต
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทผลิตชิปยังคงได้รับปัจจัยลบจากความไม่ชัดเจนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยหุ้นแอปเปิล ปรับตัวลง 0.45% หุ้นอเมซอนดอทคอม ลดลง 0.6% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ปรับตัวลง 0.13% หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ลดลง 0.5% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงราว 0.5%
หุ้นเมซีส์ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 2.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 3 ที่ระดับ 5.17 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.32 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดขายร่วงลง 3.5% ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1%
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นขานรับการคาดการณ์ที่ว่ากลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรจะขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิต โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.4% หุ้นเชฟรอน ดีดตัวขึ้น 1.2% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 1.6% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 2.8% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี เพิ่มขึ้น 1.3%
ส่วนหุ้น Charles Schwab พุ่งขึ้น 7.3% ขณะที่หุ้น TD Ameritrade ทะยานขึ้น 16.9% หลังจากสื่อรายงานว่า Charles Schwab อยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อกิจการ TD Ameritrade ซึ่งทั้งสองบริษัทต่างก็เป็นโบรกเกอร์รายใหญ่ของสหรัฐ โดยมีการคาดการณ์ว่า การควบกิจการดังกล่าวจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ของสหรัฐ
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในคืนนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนพ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน