ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (26 พ.ย.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนียังคงเดินหน้าทำนิวไฮ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ส่งสัญญาณว่า สหรัฐกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทำข้อตกลงการค้ากับจีน นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้แสดงมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 28,121.68 จุด เพิ่มขึ้น 55.21 จุด หรือ +0.20% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,140.52 จุด เพิ่มขึ้น 6.88 จุด หรือ +0.22% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,647.93 จุด เพิ่มขึ้น 15.44 จุด หรือ +0.18%
ดัชนีดาวโจนส์ รวมทั้งดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ดีดตัวขึ้นทำนิวไฮอีกครั้งเมื่อคืนนี้ หลังจากปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ว่า สหรัฐและจีนกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทำข้อตกลงการค้า ซึ่งถือเป็นข้อตกลงที่มีความสำคัญอย่างมาก และการเจรจาก็กำลังไปได้ดี แต่ในขณะเดียวกัน สหรัฐก็อยู่เคียงข้างกลุ่มผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง
ทางด้านนางเคลลีแอนน์ คอนเวย์ ที่ปรึกษาประจำทำเนียบขาวกล่าวว่า สหรัฐและจีนกำลังใกล้บรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรก หลังจากเจ้าหน้าที่การค้าของทั้งสองฝ่ายได้หารือกันทางโทรศัพท์ และตกลงที่จะเดินหน้าเจรจาร่วมกันต่อไป
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่นายพาวเวลได้กล่าวสุนทรพจน์ล่าสุดที่รัฐโรดไอร์แลนด์เมื่อวันจันทร์ว่า นโยบายการเงินของเฟดอยู่ในสถานะที่ดีพอที่จะสนับสนุนตลาดแรงงานให้มีความแข็งแกร่ง พร้อมกับแสดงมุมมองบวกต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้จ่ายผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ซึ่งได้รับแรงกระตุ้นจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง การเพิ่มขึ้นของรายได้ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูงขึ้น
หุ้นดิสนีย์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีดาวโจนส์ ดีดตัวขึ้น 1.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดผู้ลงทะเบียนรับบริการ "Disney+" พุ่งขึ้นเกือบแตะระดับ 1 ล้านราย/วัน โดย "Disney+" เป็นบริการสตรีมมิ่งที่ดิสนีย์คาดหวังว่าจะสามารถเอาชนะคู่แข่งอย่างเน็ตฟลิกซ์
หุ้นบริษัทเบสท์บาย ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกสินค้าอิเลคทรอนิคส์รายใหญ่ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 9.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 1.13 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.03 ดอลลาร์/หุ้น และยอดขายเพิ่มขึ้น 1.7% สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.3%
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเบสท์บายยังช่วยหนุนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มสินค้าผู้บริโภค โดยหุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) พุ่งขึ้น 1.45% หุ้นเป๊ปซี่โค เพิ่มขึ้น 1.4% หุ้นโคคา-โคลา เพิ่มขึ้น 1.3% หุ้นไทสัน ฟู้ดส์ เพิ่มขึ้น 1.21%
หุ้นซิตี้กรุ๊ป ปรับตัวลง 0.3% ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวที่ว่า ธนาคารกลางอังกฤษได้สั่งปรับซิตี้กรุ๊ป สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ เป็นเงินจำนวน 43.9 ล้านปอนด์ (56.3 ล้านดอลลาร์) เมื่อวานนี้ โดยธนาคารกลางอังกฤษระบุว่า สาขาของซิตี้กรุ๊ปในอังกฤษไม่ได้รายงานงบการเงินตามกฎระเบียบในปี 2557-2561
หุ้นฮิวเล็ต แพคการ์ด เอนเตอร์ไพรซ์ ดิ่งลง 8.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่ต่ำกว่าคาด
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ค่อนข้างผันผวน และเป็นปัจจัยกดดันตลาดในระหว่างวัน โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ลดลง 0.7% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 733,000 ยูนิต ส่วนตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐลดลง 5.7% สู่ระดับ 6.65 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค. ขณะที่ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐลดลงสู่ระดับ 125.5 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2562 (ประมาณการครั้งที่ 2), ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนต.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนต.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนต.ค.