ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทะยานกว่า 300 จุด ขานรับตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ รวมทั้งคาดการณ์ในเชิงบวกต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ณ เวลา 22.56 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 27,981.99 จุด บวก 304.20 จุด หรือ 1.10%
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นนำตลาด หลังกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศพันธมิตรมีมติปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 266,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 187,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.5% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี จากระดับ 3.6% ในเดือนต.ค.
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนพ.ย.พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน โดยได้ปัจจัยหนุนจากการกลับเข้าทำงานของพนักงานบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ที่ได้ผละงานก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย.
เมื่อเทียบรายปี ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานเพิ่มขึ้น 3.1% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.0%
ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ
กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนต.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 156,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 128,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 193,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 180,000 ตำแหน่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่าในเดือนพ.ย. ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 254,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 12,000 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐและจีนใกล้บรรลุข้อตกลงทางการค้า ซึ่งสวนทางกับที่เขาส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่า การบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจล่าช้าออกไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย.ปีหน้า
นอกจากนี้ นักลงทุนยังผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่จีนระบุว่าจะมีการยกเว้นภาษีถั่วเหลืองและเนื้อหมูบางส่วนที่นำเข้าจากสหรัฐ
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า โดยนักวิเคราะห์คาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 3 ครั้งในปีนี้