ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ม.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮ ขานรับข่าวสหรัฐและจีนเตรียมลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกในวันพุธนี้ โดยความคืบหน้าดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ในวันนี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน และซิตี้กรุ๊ป
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 28,907.05 จุด เพิ่มขึ้น 83.28 จุด หรือ +0.29% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,288.13 จุด เพิ่มขึ้น 22.78 จุด หรือ +0.70% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 9,273.93 จุด เพิ่มขึ้น 95.07 จุด หรือ +1.04%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยบวกจากรายงานข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เตรียมจัดพิธีลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีนที่ทำเนียบขาวในวันพุธนี้ เวลา 11.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 23.30 น.ตามเวลาไทย โดยจะมีการเชิญแขกราว 200 คนเข้าร่วมพิธีดังกล่าว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนในระหว่างวันหลังจากสื่อรายงานว่า สหรัฐเตรียมถอดจีนออกจากรายชื่อประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน ซึ่งหลังจากตลาดปิดทำการแล้ว กระทรวงการคลังสหรัฐได้ออกแถลงการณ์ยืนยันรายงานข่าวดังกล่าว โดยระบุว่า จีนมีความคืบหน้าในการแก้ปัญหาต่างๆที่สหรัฐวิตกกังวล และจีนได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะหลีกเลี่ยงการปรับลดค่าเงินเพื่อหวังผลด้านการแข่งขัน
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นขานรับความคืบหน้าด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ โดยหุ้น Nvidia ทะยานขึ้น 3.14% หุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 2.14% หุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 1.7% หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (AMD) เพิ่มขึ้น 1.2% หุ้นไมโครซอฟท์ บวก 1.2% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล บวก 0.7% หุ้นอเมซอนดอทคอม บวก 0.43% หุ้นอินเทล พุ่งขึ้น 1.1% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.36%
หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 9.7% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทออพเพนไฮเมอร์ประกาศปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของหุ้นเทสลา สู่ระดับ 612 ดอลลาร์/หุ้น จากระดับ 385 ดอลลาร์ก่อนหน้านี้ โดยราคาเป้าหมายดังกล่าวถือเป็นระดับสูงสุดที่มีการคาดการณ์จากบริษัทในย่านวอลล์สตรีท
หุ้นบียอนด์ มีท ผู้ผลิตเนื้อวัวรายใหญ่ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 19% ขณะที่หุ้นไทสัน ฟู้ดส์ พุ่งขึ้น 1.7% หลังจากผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมเนื้อของสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
หุ้นเฮ็กเซล คอร์ป และหุ้นวู้ดวาร์ด อิงค์ ซึ่งเป็นสองบริษัทซัพพลายเออร์รายใหญ่ของโบอิ้ง พุ่งขึ้น 9.6% และ 4.8% ตามลำดับ หลังจากทั้งสองบริษัทประกาศแผนควบรวมกิจการ มูลค่า 6.43 พันล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2562 ของธนาคารรายใหญ่ในวันนี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนม.ค.จากเฟดนิวยอร์ก, รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค., ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนธ.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ย., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนม.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนธ.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน