ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์แทบไม่เคลื่อนไหวในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวแคบในคืนนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
ณ เวลา 20.28 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 4 จุด หรือ 0.01% สู่ระดับ 28,875 จุด
ราคาหุ้นของเจพีมอร์แกน เชสพุ่งขึ้น 1.5% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดวอลล์สตรีท หลังเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 4 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
นอกจากนี้ ซิตี้กรุ๊ป และเดลต้า แอร์ไลน์เปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าคาดเช่นกัน แต่ผลประกอบการของเวลส์ ฟาร์โกต่ำกว่าคาด
ทางด้าน FactSet คาดการณ์ว่า กำไรของบริษัทที่อยู่ในดัชนี S&P 500 จะมีผลกำไรร่วงลง 2% ในไตรมาส 4 เมื่อเทียบรายปี
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เตรียมจัดพิธีลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีนที่ทำเนียบขาวในวันพรุ่งนี้ เวลา 11.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 23.30 น.ตามเวลาไทย โดยจะมีการเชิญแขกราว 200 คนเข้าร่วมพิธีดังกล่าว
นายไซมอน เฟนแทม-เฟล็ทเชอร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทฟรีดอม แอสเซ็ท แมเนจเมนต์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น ขณะเข้าสู่ช่วงปีใหม่ ดังนั้นถึงเวลาที่นักลงทุนควรทำกำไร และรอโอกาสกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง
"ผมกำลังเริ่มคิดถึงการขายทำกำไรจากหุ้นที่พุ่งขึ้นอย่างมากในปีที่แล้ว และจะกลับเข้ามาใหม่เมื่อตลาดมีการปรับฐานราว 5-10%" เขากล่าว
นายเฟนแทม-เฟล็ทเชอร์คาดการณ์ว่าดัชนี S&P 500 จะสามารถพุ่งขึ้นอีก 15% ภายในสิ้นปีนี้ โดยจะได้รับปัจจัยหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่สดใส และเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง แต่หากผลประกอบการซบเซา ตลาดหุ้นก็จะปรับฐาน ดังนั้น นักลงทุนที่มีเงินสดในมือก็จะมีช่องทางเข้าลงทุนอีกครั้งหนึ่ง
นายเฟนแทม-เฟล็ทเชอร์กล่าวเสริมว่า เขามีมุมมองเชิงบวกในการลงทุนในสินทรัพย์ของตลาดเกิดใหม่ โดยคาดว่าจะมีกระแสเงินไหลเข้าสู่ตลาดดังกล่าว เนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอน ซึ่งรวมทั้งการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ได้ลดน้อยลงแล้ว