ดัชนีดาวโจนส์ และดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ (15 ม.ค.) โดยดาวโจนส์ปิดที่เหนือระดับ 29,000 จุดเป็นครั้งแรก หลังจากสหรัฐและจีนลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกอย่างเป็นทางการ โดยข้อตกลงระบุว่าจีนจะสั่งซื้อสินค้าและการบริการจากสหรัฐเพิ่มขึ้น ขณะที่สหรัฐตกลงที่จะปรับลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,030.22 จุด เพิ่มขึ้น 90.55 จุด หรือ +0.31% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดดที่ 3,289.29 จุด เพิ่มขึ้น 6.14 จุด หรือ +0.19% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 9,258.70 จุด เพิ่มขึ้น 7.37 จุด หรือ +0.08%
นักลงทุนขานรับข่าวสหรัฐและจีนได้ลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกเมื่อวานนี้ โดยข้อตกลงระบุว่า สหรัฐจะปรับลดภาษีลงครึ่งหนึ่งจากอัตรา 15% ที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์ และชะลอการเก็บภาษีเพิ่มเติมเพื่อแลกกับการที่จีนให้คำมั่นสัญญาในการปฏิรูปโครงสร้าง รวมทั้งซื้อสินค้าและบริการจากสหรัฐเพิ่มขึ้นอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงเวลา 2 ปีข้างหน้า โดยสหรัฐคาดว่า การดำเนินการดังกล่าวของจีนจะช่วยให้ยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ จีนได้ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มมาตรการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และเปิดเสรีการบริการด้านการเงิน ขณะเดียวกันก็ให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงแก้ไขเพื่อยุติข้อกล่าวหาที่ว่า จีนบังคับให้บริษัทสหรัฐถ่ายโอนเทคโนโลยีให้แก่บริษัทจีนและบิดเบือนค่าเงินเพื่อหวังผลประโยชน์ด้านการส่งออก
หุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 2.8% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไรปี 2563 ขณะที่หุ้นซิกนา คอร์ป พุ่งขึ้น 1.5% หุ้นเมดโทรนิค บวก 0.25% หุ้นแอมเจน บวก 0.7% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพพุ่งขึ้น 1%
หุ้นแบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้น 2.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2562 พุ่งขึ้น 40.3% สู่ระดับ 1.30 พันล้านดอลลาร์ หรือ 8.29 ดอลลาร์/หุ้น เทียบกับระดับ 927 ล้านดอลลาร์ หรือ 5.78 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปี 2561
หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวลง 0.2% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2562 ลดลงสู่ระดับ 1.72 พันล้านดอลลาร์ หรือ 4.69 ดอลลาร์/หุ้น จากระดับ 2.32 พันล้านดอลลาร์ หรือ 6.04 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปี 2561
หุ้นทาร์เก็ต ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 6.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายเพิ่มขึ้นเพียง 1.4% ในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค. เมื่อเทียบกับระดับ 5.7% ในช่วงเดียวกันของปี 2561
หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 1.8% แม้ธนาคารเปิดเผยกำไรไตรมาส 4/2562 ที่ระดับ 74 เซนต์/หุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 68 เซนต์/หุ้น
หุ้นแอปเปิล ปรับตัวลง 0.4% หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามกดดันให้บริษัทแอปเปิล อิงค์ ปลดล็อกรหัสเข้าถึงไอโฟนของผู้ต้องสงสัยก่อเหตุกราดยิงฐานทัพเรือในรัฐฟลอริดา เมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่อัยการสูงสุดของสหรัฐออกมาตำหนิแอปเปิลว่าไม่ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ในการคลี่คลายคดีดังกล่าว
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่ได้เปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากทรงตัวในเดือนพ.ย. ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กรายงานว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) เพิ่มขึ้น 1.5 จุด สู่ระดับ 4.8 ในเดือนม.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.6
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค., ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนธ.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ย., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนม.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนธ.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน