ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทะยานขึ้นกว่า 200 จุด หลังจากทรุดตัวลงอย่างหนักวานนี้ โดยได้รับปัจจัยบวกจากการดีดตัวขึ้นมากเกินคาดของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ
ณ เวลา 23.02 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 28,747.56 จุด บวก 211.76 จุด หรือ 0.74%
ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวสู่ระดับ 131.6 ในเดือนม.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 128.0 จากระดับ 126.5 ในเดือนธ.ค.
ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับแรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคสหรัฐมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นต่อตลาดแรงงาน
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเป็นการสำรวจมุมมองของผู้บริโภค และความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และในช่วง 6 เดือนข้างหน้า, สถานะการเงินส่วนบุคคล และการจ้างงาน
ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 450 จุดเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
นายสก็อตต์ ก็อตต์ลิเอ็บ อดีตประธานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กล่าวว่า เขามีความวิตกกังวลว่าจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจีน อาจมีจำนวนมากกว่าตัวเลขทางการของจีน
"ผมคิดว่าเราประเมินตัวเลขต่ำเกินไปถึงหลายหมื่นคน" นายก็อตต์ลิเอ็บกล่าว
ทั้งนี้ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) เปิดเผยว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคปอดอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจีน เพิ่มขึ้นเป็น 106 ราย ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวอยู่ที่ 4,515 ราย
นักลงทุนยังคงจับตาการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
ขณะนี้ บริษัทจำนวน 67% ในดัชนี S&P 500 ที่ได้เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 4 มีกำไรสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 28-29 ม.ค. ขณะที่มีการคาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ หลังจากที่เฟดส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ในการคงอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปีนี้
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 2.4% ในเดือนธ.ค. หลังจากดิ่งลง 3.1% ในเดือนพ.ย.
การเพิ่มขึ้นของยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนในเดือนธ.ค. ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของภาคขนส่ง
ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน และสินค้าด้านอาวุธ โดยเป็นสิ่งบ่งชี้แผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ ลดลง 0.9% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย.
ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.5% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว หลังจากที่เพิ่มขึ้น 3.2% ในเดือนต.ค.
ดัชนีราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นได้รับแรงหนุนจากการขาดแคลนสต็อกบ้านในตลาด, อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองในระดับต่ำ ขณะที่อุปสงค์อยู่ในระดับสูง