ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (30 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นที่เป็นสินทรัยพ์เสี่ยงท่ามกลางความวิตกว่า การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากจีนไปยังประเทศต่างๆ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ นักลงทุนยังผิดหวังกับการเปิดเผยรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และจากการที่ธนาคารกลางอังกฤษลงมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงิน
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,381.96 จุด ลดลง 101.61 จุด หรือ -1.36%
ตลาดร่วงลง เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นท่ามกลางความวิตกว่าการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาทั่วโลก ซึ่งล่าสุดมีผู้ติดเชื้อทั่วโลกกว่า 8,100 ราย และมีผู้เสียชีวิต 170 รายนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
ข้อมูลจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกล่าสุดระบุว่า จำนวนผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทั่วโลกในขณะนี้มีจำนวนมากกว่าผู้ที่ติดเชื้อโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงหรือ SARS ในปี 2545-46 ซึ่งมีจำนวน 8,098 ราย และมีผู้เสียชีวิต 774 รายทั่วโลก และได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกราว 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 0.1% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของโลกในปี 2546
นักวิเคราะห์เตือนว่า เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่า SARS เนื่องจากขณะนี้จีนมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้นมากกว่าในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรค SARS โดยคาดว่าเชื้อไวรัสโคโรนาจะฉุดเศรษฐกิจจีนลดลง 1% ในไตรมาสแรกของปีนี้
ตลาดยังถูกกดดัน เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังกับการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทรอยัล ดัชท์ เชลล์ ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุดของยุโรป โดยเชลล์เปิดเผยว่า กำไรของบริษัททรุดตัวลงอย่างมากในปีที่แล้วจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และราคาน้ำมันที่ดิ่งลง
เชลล์ระบุว่า บริษัทมีกำไร 1.6462 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2562 ดิ่งลง 23% เมื่อเทียบกับระดับ 2.1404 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2561 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.7770 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นเชลล์ ร่วง 3.69% และหุ้นบีพี ร่วง 2.00%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังผิดหวังที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติ 7-2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.75% โดยคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (MPC) จำนวน 7 รายลงมติให้ BoE คงอัตราดอกเบี้ย แต่อีก 2 รายลงมติให้ BoE ปรับลดอัตราดอกเบี้ย