ดาวโจนส์ดิ่งต่อเนื่อง ล่าสุดทรุดกว่า 300 จุด จับตาไวรัสโคโรนา,คดีถอดถอน"ทรัมป์",Brexit

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 31, 2020 22:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทรุดตัวลงกว่า 300 จุด ขณะที่นักลงทุนจับตาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และการถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง ซึ่งเข้าสู่ขั้นตอนที่สำคัญในวันนี้

ณ เวลา 22.16 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 28,541.62 จุด ลบ 317.82 จุด หรือ 1.10%

คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) แถลงว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคปอดอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจีน เพิ่มขึ้นเป็น 213 ราย ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวอยู่ที่ 9,692 ราย

แถลงการณ์ของ NHC ยังระบุว่า ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่อยู่ในขั้นวิกฤตมีจำนวน 1,527 ราย และผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยว่าติดเชื้อไวรัสดังกล่าวมีจำนวน 15,238 ราย

องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น "ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโลก" หลังจากเชื้อไวรัสดังกล่าวแพร่ระบาดไปยังประเทศต่างๆทั่วโลกอย่างรวดเร็ว

ทางด้านวุฒิสภาสหรัฐเตรียมลงมติครั้งสำคัญในวันนี้ ซึ่งจะชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ทั้งนี้ วุฒิสภาสหรัฐมีกำหนดลงมติในวันนี้ต่อญัตติในการเรียกสอบพยานเพิ่มในคดีถอดถอนปธน.ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง โดยสมาชิกพรรคเดโมแครตต้องการให้มีการสอบพยานเพิ่ม โดยเฉพาะนายจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ

อย่างไรก็ดี สมาชิกพรรครีพับลิกันคัดค้านการเรียกสอบพยานเพิ่มในคดีดังกล่าว

แหล่งข่าวระบุว่า หากเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภาลงมติคว่ำญัตติการเรียกสอบพยานเพิ่มในวันนี้ ก็จะส่งผลให้คดีการถอดถอนปธน.ทรัมป์ในวุฒิสภาปิดฉากเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยหากวุฒิสภาลงมติคว่ำญัตติการเรียกสอบพยานเพิ่มในวันนี้ ก็จะทำให้มีการลงมติในญัตติที่ว่าจะถอดถอนปธน.ทรัมป์ออกจากตำแหน่งหรือไม่ โดยการลงมติในญัตติดังกล่าวอาจเกิดขึ้นทันทีในวันนี้ หรือพรุ่งนี้

ทั้งนี้ คาดว่าวุฒิสภาจะลงมติคัดค้านการถอดถอนปธน.ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากสมาชิกพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ขณะที่การลงมติจำเป็นต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของวุฒิสมาชิกจำนวน 100 คน ส่งผลให้พรรคเดโมแครตมีแนวโน้มประสบความพ่ายแพ้ในความพยายามถอดถอนปธน.ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง

ก่อนหน้านี้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.เห็นชอบต่อการถอดถอนปธน.ทรัมป์ใน 2 ข้อหา ซึ่งได้แก่ การใช้อำนาจในทางมิชอบ และขัดขวางกระบวนการสอบสวนของสภาคองเกรส ซึ่งทำให้ปธน.ทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 3 ที่ถูกสภาผู้แทนฯ ลงมติถอดถอนอย่างเป็นทางการ และเผชิญกับการไต่สวนในวุฒิสภา

นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้เริ่มกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนปธน.ทรัมป์อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนต.ค.ปีที่แล้ว หลังจากมีรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เพื่อกดดันให้มีการสอบสวนนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ และบุตรชายของเขา ซึ่งมีการทำธุรกิจในยูเครน โดยการกระทำดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐ

นายไบเดนเป็นหนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต และถือเป็นคู่แข่งคนสำคัญของปธน.ทรัมป์ ซึ่งหากนายไบเดนถูกสกัดให้ออกจากการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย. ปธน.ทรัมป์ก็มีแนวโน้มสูงที่จะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกสมัย

ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาอังกฤษ ซึ่งมีกำหนดแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) อย่างเป็นทางการในวันนี้เวลา 23.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือพรุ่งนี้เวลา 06.00 น.ตามเวลาไทย ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองของยุโรป

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย.

ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย.

ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวสู่ระดับ 99.8 ในเดือนม.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 99.1 หลังจากแตะระดับ 99.3 ในเดือนธ.ค.

ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับแรงหนุนจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง และการพุ่งขึ้นของรายได้

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเป็นการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค 500 รายต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ สถานะการเงินส่วนบุคคล, ภาวะเงินเฟ้อ, การว่างงาน, อัตราดอกเบี้ย และนโยบายรัฐบาล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ