ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (3 ก.พ.) โดยดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนขานรับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของอังกฤษ ซึ่งได้ช่วยหนุนตลาดท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากจีน
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,326.31 จุด เพิ่มขึ้น 40.30 จุด หรือ +0.55%
ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากการที่ไอเอชเอส มาร์กิต/ซีไอพีเอส เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหราชอาณาจักร ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.0 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน จากระดับ 47.5 ในเดือนธ.ค. โดยดัชนี PMI ที่ระดับ 50 บ่งชี้ถึงภาวะที่มีเสถียรภาพในภาคการผลิต โดยหากดัชนี PMI อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 จะบ่งชี้ภาวะหดตัวของภาคการผลิต และหากอยู่สูงกว่าระดับ 50 จะบ่งชี้ภาวะขยายตัว
ดัชนี PMI ได้รับปัจจัยหนุนจากการปรับตัวขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่ และการฟื้นตัวของการจ้างงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจพุ่งสูงสุดในรอบ 8 เดือน
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มส่งออกฟื้นตัวขึ้น หลังเงินปอนด์อ่อนค่าลง เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการทำข้อตกลงการค้าที่ราบรื่นระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรป (EU) หลังจากอังกฤษออกจาก EU อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษยืนกรานว่า ในการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับ EU นั้น อังกฤษไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำตามข้อกำหนดของ EU เกี่ยวกับนโยบายการแข่งขันในตลาด หรือการอุดหนุนราคาสินค้า ขณะที่ EU ขู่ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษี และกำหนดโควตาต่อสินค้านำเข้าจากอังกฤษ หากอังกฤษไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของ EU
ตลาดยังได้แรงหนุนจากหุ้นไรอันแอร์ที่พุ่งขึ้น 6.6% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไรปีนี้ โดยระบุถึงผลการดำเนินงานที่ดีเกินคาดในช่วงวันหยุด ขณะที่หุ้นอีซีเจ็ตซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ พุ่งขึ้น 3.84%