ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (13 ก.พ.) โดยหุ้นกลุ่มส่งออกถูกกดดันจากเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นก่อนอังกฤษเปิดเผยงบประมาณรายจ่ายในเดือนหน้าซึ่งคาดว่าจะมีการใช้จ่ายด้านต่างๆ จำนวนมาก นอกจากนี้ นักลงทุนยังกลับมาวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือโควิด-19 อีกครั้ง หลังจากทางการจีนเปิดเผยว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งขึ้นในมณฑลหูเป่ยซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าว
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,452.03 จุด ลดลง 82.34 จุด หรือ -1.09%
ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนกลับมาวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อีกครั้ง หลังจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) แถลงว่า ณ วันพุธที่ 12 ก.พ. จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่เฉพาะในมณฑลหูเป่ยที่เดียวนั้น เพิ่มขึ้น 14,840 ราย สู่ระดับ 48,206 ราย ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่มีการรายงานข้อมูล ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตในมณฑลหูเป่ยเพิ่มขึ้น 242 ราย สู่ระดับ 1,310 ราย
สาเหตุที่ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ในมณฑลหูเป่ยพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากได้มีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การวินิจฉัยให้นับรวมผู้ติดเชื้อที่ได้รับการวินิจฉัยทางคลินิก (Clinically diagnosed cases) โดยผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยทางคลินิกนั้น คือกลุ่มผู้ป่วยที่แสดงอาการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ยังไม่ทราบผลการตรวจตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรือผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิตก่อนที่จะได้รับการตรวจทางวิทยาศาสตร์
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มส่งออก หลังเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นรับคาดการณ์ที่ว่า ในเดือนหน้าอังกฤษจะเปิดเผยงบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งอาจจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอังกฤษ และทำให้ธนาคารกลางอังกฤษไม่ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
หุ้นกลุ่มน้ำมันร่วงลงหนักที่สุด โดยหุ้นเชลล์และหุ้นบีพี ร่วงลง 3.65% และ 3.09% ตามลำดับ
หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลงด้วย โดยหุ้นบาร์เคลย์ส ลบ 1.68% และหุ้นเอชเอสบีซี ลดลง 0.92% ขณะที่หุ้นแองโกล อเมริกัน ลดลง 1.00% และหุ้นเกล็นคอร์ ลบ 0.44%