ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (21 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นจากความวิตกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในจีน, เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น โดยหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ บริษัทน้ำมันและเหมืองแร่ ได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลกิจกรรมทางธุรกิจที่อ่อนแอในสหรัฐส่งผลถ่วงตลาดลงด้วย
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,403.92 จุด ลดลง 32.72 จุด หรือ -0.44%
ตลาดหุ้นอังกฤษปรับตัวลงจากความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อ หลังจากจีนรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นในวันศุกร์, เกาหลีใต้รายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 100 ราย และมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกกว่า 80 รายในญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่ไอเอชเอส มาร์กิตซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 49.6 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 76 เดือน จากระดับ 53.3 ในเดือนม.ค.
ดัชนี PMI ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐประสบภาวะหดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2556 หลังจากมีการขยายตัวยาวนานเกือบ 4 ปี
หุ้นกลุ่มน้ำมันและเหมืองแร่ปรับตัวลง โดยหุ้นเชลล์ ลบ 1.67%, หุ้นบีพี ลดลง 2.71%, หุ้นเกล็นคอร์ ลบ 2.34% และหุ้นอีฟแรซ ลดลง 0.08%