ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (21 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศจีนและในต่างประเทศ นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงกิจกรรมทางธุรกิจเดือนก.พ.ที่อ่อนแอในสหรัฐ ได้กดดันตลาดด้วย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 28,992.41 จุด ลดลง 227.57 จุด หรือ -0.78%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,337.75 จุด ลดลง 35.48 จุด หรือ -1.05% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 9,576.59 จุด ลดลง 174.38 จุด หรือ -1.79%
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 1.4%, ดัชนี S&P500 ลดลง 1.3% และดัชนี Nasdaq ลดลง 1.6% ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซนต์การลดลงรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์
ตลาดปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นออกมา ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ในจีนเพิ่มขึ้นอีกในวันศุกร์ ขณะที่เกาหลีใต้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 100 ราย และญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อเพิ่มกว่า 80 ราย
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลกิจกรรมทางธุรกิจที่อ่อนแอในสหรัฐ โดยไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงินเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 49.6 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 76 เดือน จากระดับ 53.3 ในเดือนม.ค.
ดัชนี PMI ที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐประสบภาวะหดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2556 หลังจากมีการขยายตัวยาวนานเกือบ 4 ปี
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนำตลาดปรับตัวลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน โดยหุ้นไมโครซอฟท์ ร่วง 3.16%, หุ้นอเมซอน ลดลง 2.65% และหุ้นแอปเปิล ปรับตัวลง 2.26%
หุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปซึ่งมีความเชื่อมโยงทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกับจีน ร่วงลงด้วย โดยหุ้นอินเทล ลบ 1.7% และหุ้นไมครอน เทคโนโลยี ร่วงลง 3.41%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจอื่นของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์นั้น สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 1.3% สู่ระดับ 5.46 ล้านยูนิตในเดือนม.ค. จากระดับ 5.53 ล้านยูนิตในเดือนธ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่ายอดขายบ้านมือสอง อาจลดลง 1.8% สู่ระดับ 5.43 ล้านยูนิตในเดือนม.ค.