ตลาดหุ้นลอนดอนปิดดิ่งลงเมื่อคืนนี้ (12 มี.ค.) สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2555 และเป็นการร่วงลงวันเดียวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2530 ขณะที่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ไม่สามารถช่วยคลายความวิตกของตลาดเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ การที่สหรัฐสั่งห้ามการเดินทางจากยุโรปได้เพิ่มความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนด้วย
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,237.48 จุด ร่วง 639.04 จุด หรือ -10.87%
ตลาดปรับตัวลงจากแรงขายท่ามกลางความตื่นตระหนกของนักลงทุน หลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์กทรุดตัวลงอย่างหนักและมีการใช้ระบบ circuit breaker เพื่อพักการซื้อขายในช่วงแรก ขณะที่นักลงทุนวิตกกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศระงับการเดินทางจากประเทศในยุโรปเข้าสู่สหรัฐ
ปธน.ทรัมป์ประกาศว่า สหรัฐจะระงับการเดินทางจากประเทศในยุโรปทั้งหมด ยกเว้นสหราชอาณาจักร ในช่วง 30 วันข้างหน้า โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เที่ยงคืนวันศุกร์นี้ โดยปธน.ทรัมป์ตำหนิสหภาพยุโรป (EU) ที่ไม่ดำเนินมาตรการควบคุมการเดินทางจากจีนตั้งแต่ช่วงที่ไวรัสโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาด
ทางด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์ระบุว่า ไวรัสโควิด-19 ได้เข้าสู่ภาวะแพร่ระบาดไปทั่วโลก หลังจากลุกลามไปยังหลายประเทศในภูมิภาคต่างๆ
ตลาดผิดหวังที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในวันพฤหัสบดี แม้ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า ECB จะปรับลดดอกเบี้ยเพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ตาม
อย่างไรก็ดี ECB ประกาศเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อีก 1.2 แสนล้านยูโรจนถึงสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ ECB ระบุว่าจะให้สินเชื่อครั้งใหม่แก่ภาคธนาคาร โดยเสนออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำลง เพื่อให้ธนาคารปล่อยกู้แก่ธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19
หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลงอย่างหนักจากคำสั่งแบนการเดินทางของสหรัฐ โดยหุ้น IAG ซึ่งเป็นเจ้าของสายการบินบริติช แอร์เวย์ ร่วง 15.82%, หุ้นอีซี่เจ็ต ร่วง 13.60% และหุ้นวิซซ์ แอร์ ดิ่งลง 14.62%
หุ้นกลุ่มน้ำมันดิ่งลงด้วยตามราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงต่อเนื่อง โดยหุ้นบีพี ร่วง 13.29% และหุ้นเชลล์ ร่วง 15.90%