ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยตลาดฟื้นตัวขึ้นหลังจากร่วงลงอย่างหนักในวันพฤหัสบดีซึ่งเป็นการทรุดตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์ "แบล็ค มันเดย์" ในปี 2530
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,366.11 จุด เพิ่มขึ้น 128.63 จุด หรือ +2.46% แต่ร่วงลง 18% ในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการดิ่งลงรุนแรงที่สุดในรอบสัปดาห์นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2551
ตลาดปรับตัวขึ้นขานรับความหวังที่ว่า สภาสหรัฐและทำเนียบขาวจะสามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งคาดว่าจะประกาศในวันศุกร์
นักลงทุนยังได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศอัดฉีดเม็ดเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบธนาคารเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา พร้อมกับเพิ่มประเภทของหลักทรัพย์ในการซื้อพันธบัตรของเฟด นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในสัปดาห์หน้า โดย FedWatch Tool ของ CME Group ล่าสุดบ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโน้ม 74.6% ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1.00% ในวันที่ 18 มี.ค. จากระดับ 1.00-1.25% สู่ระดับ 0.00-0.25% และมีแนวโน้ม 25.4% ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 0.25-0.50%
นักลงทุนยังขานรับธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อีก 1.2 แสนล้านยูโรจนถึงสิ้นปีนี้ และการจัดสรรสินเชื่อครั้งใหม่ให้แก่ภาคธนาคาร โดยเสนออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำลง เพื่อให้ธนาคารปล่อยกู้แก่ธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19 แม้นักลงทุนผิดหวังที่ ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยคงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50% ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการดำเนินมาตรการฉุกเฉินของอังกฤษในการรับมือกับโควิด-19 โดยธนาคารกลางอังกฤษปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ระดับ 0.25% เมื่อวันพุธที่ผ่านมา และรัฐบาลอังกฤษวางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 3 หมื่นล้านปอนด์ (3.9 หมื่นล้านดอลลาร์)
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่นำตลาดปรับตัวขึ้น โดยหุ้นริโอ ทินโต พุ่ง 10.31%, หุ้นบีเอชพี พุ่ง 12.15% และหุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 8.20%