ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 4% เมื่อวันศุกร์ (20 มี.ค.) และร่วงลงในรอบสัปดาห์ที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2551 เนื่องจากนักลงทุนยังคงเทขายหุ้นออกมา ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังจากที่รัฐแคลิฟอร์เนีย และรัฐนิวยอร์กของสหรัฐประกาศให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,173.98 จุด ร่วงลง 913.21 จุด หรือ -4.55%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,304.92 จุด ลดลง 104.47 จุด หรือ -4.34% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,879.52 จุด ลดลง 271.06 จุด หรือ -3.79%
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ดิ่งลง 17.3%, ดัชนี S&P500 ร่วง 14.98% และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 12.64%
ตลาดถูกกดดันอีกครั้ง เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลกับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และแนวโน้มที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังจากที่นายเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ด้านนายแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กก็ได้ประกาศให้ธุรกิจต่างๆ สั่งให้พนักงานที่ไม่มีความจำเป็นทั้งหมดทำงานอยู่แต่ในบ้าน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์นี้เป็นต้นไป อันเป็นความพยายามที่จะสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 ปิดร่วงลง โดยกลุ่มสาธารณูปโภคร่วงหนักที่สุด 8.18% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานเป็นกลุ่มเดียวที่ปรับตัวขึ้น โดยบวก 0.96%
หุ้นเอทีแอนด์ที ร่วง 8.7% หลังบริษัทเปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผลประกอบการของบริษัท และบริษัทยังได้ประกาศยกเลิกข้อตกลงการซื้อคืนหุ้นมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ การซื้อขายหุ้นในห้องค้าของตลาดหุ้นนิวยอร์กในวันศุกร์ที่ผ่านมานับเป็นวันสุดท้าย โดยตลาดจะปิดห้องค้าและเปลี่ยนไปใช้การซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกทั้งหมดแทนตั้งแต่วันจันทร์นี้ เพื่อช่วยปกป้องพนักงานและประชาชนจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19
ในส่วนของข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ไม่มีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา