ดัชนีดาวโจนส์ลดช่วงติดลบในวันนี้ หลังจากที่นายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวว่า วุฒิสภาใกล้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการของทำเนียบขาวในการเยียวยาชาวอเมริกันและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19
ณ เวลา 23.52 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 18,920.10 จุด ลบ 253.88 จุด หรือ 1.32%
นายชูเมอร์กล่าวว่า "เราใกล้บรรลุข้อตกลงแล้ว ใกล้มาก และเป้าหมายของเราคือการบรรลุข้อตกลงในวันนี้ ซึ่งเรามีความเชื่อมั่นว่าเราจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว" นายชูเมอร์กล่าว
ด้านนายมิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวเช่นกันว่า วุฒิสภากำลังใกล้บรรลุข้อตกลง
ส่วนนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันกำลังใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว
"ผมคิดว่าเรากำลังใกล้บรรลุข้อตกลงเป็นอย่างมาก และเราจำเป็นต้องมีข้อตกลงในวันนี้ โดยคองเกรสต้องอนุมัติเงินเพิ่มเติมในวันนี้ เพื่อที่เราจะสามารถเดินหน้าในการสนับสนุนแรงงานอเมริกัน และเศรษฐกิจอเมริกัน" นายมนูชินกล่าว
ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 800 จุดก่อนหน้านี้ โดยได้ลบล้างช่วงบวกที่เคยทำไว้ทั้งหมด นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2559 โดยดาวโจนส์ปรับตัวต่ำกว่าระดับปิดตลาดในวันที่ 8 พ.ย.2559 ซึ่งเป็นวันที่ปธน.ทรัมป์ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งเหนือนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต
ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์มักโอ้อวดว่าการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นภายใต้การบริหารงานของเขานับตั้งแต่ที่เขาชนะการเลือกตั้ง เป็นหลักฐานที่แสดงว่านักลงทุนให้การยอมรับต่อนโยบายทางเศรษฐกิจของเขา
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ทรุดตัวลงเกือบ 40% นับตั้งแต่เดือนที่แล้ว ขณะที่นักลงทุนแห่เทขายหุ้นในตลาดวอลล์สตรีทหนักเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงในวันนี้ แม้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
มาตรการดังกล่าว รวมถึง การซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในวงเงินไม่จำกัด เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของตลาด และความมีประสิทธิภาพในการใช้นโยบายการเงิน ท่ามกลางสภาวะทางการเงินและเศรษฐกิจในปัจจุบัน
แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า "เฟดจะดำเนินโครงการซื้อสินทรัพย์ในวงเงินที่จำเป็นในการสนับสนุนการดำเนินงานของตลาดอย่างราบรื่น และความมีประสิทธิภาพในการส่งผ่านนโยบายทางการเงินไปยังเศรษฐกิจและระบบการเงินในวงกว้าง ขณะที่ไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อสหรัฐและทั่วโลก โดยภารกิจที่สำคัญที่สุดของเราคือการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ และจำกัดการแพร่ระบาดของไวรัส และขณะที่ยังคงมีความไม่แน่นอนจำนวนมาก ก็เป็นที่ชัดเจนว่าเศรษฐกิจของเราจะเผชิญกับภาวะชะงักงันอย่างรุนแรง ภาครัฐและภาคเอกชนจึงต้องใช้ความพยายามในเชิงรุกเพื่อจำกัดจำนวนคนที่จะตกงาน และรายได้ที่จะหายไป เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว"
เฟดยังระบุว่าจะเข้าซื้อหุ้นกู้ของภาคเอกชนเป็นครั้งแรก โดยจะซื้อหลักทรัพย์ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในขั้นน่าลงทุน ทั้งในและนอกตลาด รวมทั้งจะเข้าซื้อกองทุน ETFs
นอกจากนี้ เฟดจะเพิ่มวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์สำหรับโครงการปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจ และโครงการสินเชื่อที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันที่มีการใช้ในช่วงที่เกิดวิกฤตทางการเงิน
ขณะเดียวกัน เฟดระบุว่าจะทำ QE โดยรวมถึงการเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่มีตราสารจำนองเชิงพาณิชย์ค้ำประกัน ซึ่งจะบ่งชี้ว่าเฟดได้ขยายการทำ QE ให้รวมถึงตราสารเชิงพาณิชย์ในภาคอสังหาริมทรัพย์
การดำเนินการของเฟดในวันนี้ ถือเป็นการดำเนินการแทรกแซงตลาดครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เฟดเคยดำเนินการ