ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 500 จุด ขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในวันนี้
ข่าวดีจากการที่เฟดได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ช่วยบดบังปัจจัยลบจากการที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานที่พุ่งขึ้นเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
ณ เวลา 21.00 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 23,985.50 จุด บวก 551.93 จุด หรือ 2.36%
ทั้งนี้ เฟดประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ในวันนี้ เพื่อเยียวยาภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
เฟดจะปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีพนักงานไม่เกิน 10,000 คน และมีรายได้ไม่เกิน 2.5 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว โดยสินเชื่อดังกล่าวจะมีวงเงินขั้นต่ำอยู่ที่ 1 ล้านดอลลาร์ แต่ไม่เกิน 25 ล้านดอลลาร์
เฟดระบุว่าโครงการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจมีวงเงินรวม 6.50 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากการปล่อยสินเชื่อกับภาคธุรกิจแล้ว มาตรการของเฟดยังรวมถึงโครงการประกันรายได้ของพนักงาน และมาตรการอื่นๆ
"ความสำคัญสูงสุดในขณะนี้ของสหรัฐคือการแก้ไขวิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุข โดยให้การดูแลรักษาผู้ป่วย และควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ส่วนบทบาทของเฟดคือการช่วยเหลือและสร้างเสถียรภาพในช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจถูกจำกัดในระยะนี้ ซึ่งมาตรการของเราในวันนี้จะสร้างความเชื่อมั่นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะมีความแข็งแกร่งมากเท่าที่จะเป็นไปได้" แถลงการณ์ของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ระบุ
นักลงทุนยังจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส
โอเปกพลัสจะจัดการประชุมฉุกเฉินผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในวันนี้ เพื่อหาข้อตกลงเกี่ยวกับการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน หลังจากที่ราคาน้ำมันได้ทรุดตัวลงตามอุปสงค์น้ำมันที่ลดลงทั่วโลกจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
การประชุมดังกล่าวจะเริ่มขึ้นในเวลา 16.00 น.ตามเวลาของกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย หรือตรงกับเวลา 21.00 น.ตามเวลาประเทศไทย
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่าที่ประชุมโอเปกพลัสในวันนี้จะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ ก่อนการประชุมรัฐมนตรีน้ำมันของกลุ่ม G20 ในวันพรุ่งนี้
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เขาได้หารือกับผู้นำของรัสเซียและซาอุดีอาระเบียแล้ว ซึ่งเขาเชื่อว่าประเทศทั้งสองจะยุติการทำสงครามราคาน้ำมัน และจะบรรลุข้อตกลงในการปรับลดกำลังการผลิต 10-15 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาด
อย่างไรก็ดี นายบิจาน ซานกาเนห์ รมว.น้ำมันอิหร่าน ระบุว่า ควรมีการทำข้อตกลงเกี่ยวกับตัวเลขการผลิตน้ำมัน ก่อนที่จะมีการประชุมโอเปกพลัส นอกจากนี้ สหรัฐและแคนาดาควรเข้าร่วมการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันในครั้งนี้
ทางด้านปธน.ทรัมป์ไม่ได้แสดงความต้องการที่จะเข้าร่วมการปรับลดกำลังการผลิตกับกลุ่มโอเปกพลัสแต่อย่างใด โดยระบุว่าการผลิตน้ำมันในสหรัฐได้ลดลงอยู่แล้วจากอุปสงค์ที่อ่อนแอในตลาด
นายบีจาร์น ชีลดรอป หัวหน้านักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ของบริษัทเอสอีบี กล่าวว่า เขาคาดว่าที่ประชุมโอเปกพลัสในวันนี้จะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ ก่อนการประชุมรัฐมนตรีน้ำมันของกลุ่ม G20 ในวันพรุ่งนี้
ทั้งนี้ โอเปกพลัสหวังที่จะโน้มน้าวให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่ไม่ได้อยู่ในโอเปกพลัส เช่น สหรัฐ แคนาดา นอร์เวย์ และบราซิล ให้ความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตในรอบนี้
นายชีลดรอประบุว่า หาก G20 ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขที่โอเปกพลัสเรียกร้อง ซาอุดีอาระเบียและรัสเซียก็จะสามารถโยนความผิดไปยัง G20 และลดแรงกดดันจากปธน.ทรัมป์
ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นประธานกลุ่ม G20 ในปีนี้ กล่าวว่า การประชุมดังกล่าวมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการหารือและความร่วมมือในระดับโลกในการรักษาเสถียรภาพของตลาดน้ำมัน และสร้างความแข็งแกร่งต่อเศรษฐกิจโลก
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า สหรัฐมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุดในโลก โดยมีจำนวน 435,160 ราย และมีผู้เสียชีวิต 14,797 ราย
รัฐนิวยอร์กถือเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดในประเทศ จำนวน 151,171 ราย ตามมาด้วยนิวเจอร์ซีย์ มิชิแกน และแคลิฟอร์เนีย
นอกจากนี้ รัฐนิวยอร์กยังมีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงสุดในสหรัฐ จำนวน 6,268 ราย ตามมาด้วยนิวเจอร์ซีย์ มิชิแกน และหลุยเซียนา
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกพุ่งขึ้นสู่ระดับ 6.6 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.25 ล้านราย
ทั้งนี้ เมื่อรวมตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานที่มีการรายงานในวันนี้รวมกับ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ พบว่าตัวเลขดังกล่าวสูงกว่า 16 ล้านราย
การพุ่งขึ้นของตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานมีสาเหตุจากการที่ภาคธุรกิจได้พากันปิดกิจการ จากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้มีการปลดพนักงานจำนวนมาก