ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (9 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อเยียวยาภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวขึ้นเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,719.37 จุด เพิ่มขึ้น 285.80 จุด หรือ +1.22% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,789.82 จุด เพิ่มขึ้น 39.84 จุด หรือ +1.45% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,153.58 จุด เพิ่มขึ้น 62.67 จุด หรือ +0.77%
ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันศุกร์ที่ 10 เม.ย. เนื่องในวัน Good Friday การซื้อขายในวันพฤหัสบดีที่ 9 เม.ย.จึงถือเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์นี้ และเมื่อพิจารณาตลอดทั้งสัปดาห์พบว่า ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 12.67%, ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 12.1% ซึ่งทำสถิติรายสัปดาห์ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2517 และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 10.59%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ หลังจากเฟดประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อเยียวยาภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฟดจะปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีพนักงานไม่เกิน 10,000 คน และมีรายได้ไม่เกิน 2.5 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ซึ่งสินเชื่อดังกล่าวจะมีวงเงินขั้นต่ำอยู่ที่ 1 ล้านดอลลาร์ แต่ไม่เกิน 25 ล้านดอลลาร์
เฟดระบุว่าโครงการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจมีวงเงินรวม 6.50 แสนล้านดอลลาร์ โดยนอกจากการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจแล้ว มาตรการของเฟดยังรวมถึงโครงการประกันรายได้ของพนักงาน และมาตรการอื่นๆด้วย
ทางด้านนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดได้แสดงความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงสามารถฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แม้มีการทรุดตัวลงในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะเดียวกันนายพาวเวลกล่าวว่า เฟดมีความมุ่งมั่นที่จะจัดหาสภาพคล่องให้แก่ภาคธุรกิจและครัวเรือน ขณะที่ตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0%
"เฟดกำลังดำเนินการเท่าที่สามารถทำได้เพื่อให้เศรษฐกิจผ่านพ้นช่วงที่ยากลำบากนี้ และเมื่อเราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส ธุรกิจต่างๆก็จะเปิดดำเนินการอีกครั้ง และแรงงานก็จะกลับเข้าทำงาน ทำให้เราเชื่อว่าเศรษฐกิจจะกลับมาดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง" นายพาวเวลกล่าวในการสัมมนาผ่านทางเว็บไซต์ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันบรูกกิงส์
หุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้นขานรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งล่าสุดของเฟด โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส ทะยานขึ้น 9.05% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ เพิ่มขึ้น 4.2% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 4.3% หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 7.14% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 6.15% หุ้นแบล็คร็อค พุ่งขึ้น 4.6% หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส บวก 2.9%
หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคพุ่งขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นพีจีแอนด์อี คอร์ปอเรชั่น ทะยานขึ้น 10% หุ้นเอ็กเซลอน คอร์ปอเรชั่น บวก 4.15% หุ้นเฟิร์สท์เอนเนอร์จี เพิ่มขึ้น 3.5% หุ้นดุ๊ค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 5.6% หุ้นคอนโซลิเดทเต็ด เอดิสัน อิงค์ พุ่งขึ้น 4.9%
หุ้นวอลท์ดิสนีย์ พุ่งขึ้น 3.46% หลังจากบริษัทรายงานว่า ยอดผู้ใช้บริการสตรีมมิ่ง "ดิสนีย์พลัส (Disney+)" พุ่งขึ้นกว่า 50 ล้านราย
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 9% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 1.6% หุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 2.04% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ลดลง 1.48% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 6.17% หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ลดลง 0.3%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกพุ่งขึ้นสู่ระดับ 6.6 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.25 ล้านราย โดยการพุ่งขึ้นของตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานมีสาเหตุจากการที่ภาคธุรกิจได้พากันปิดกิจการ จากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้มีการปลดพนักงานจำนวนมาก
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 0.2% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากดิ่งลง 0.6% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2558 ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งลดลง 0.7% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากลดลง 0.6% ในเดือนม.ค.
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้คือ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมี.ค. โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในเวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย