ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (15 เม.ย.) หลังจากธนาคารยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ซึ่งรวมถึงโกลด์แมน แซคส์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา รายงานผลกำไรที่ทรุดตัวลงในไตรมาสแรกปีนี้ นอกจากนี้ ทางการสหรัฐยังได้เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่หลายรายการ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ดิ่งลงอย่างหนักในเดือนมี.ค. อันเนื่องมาจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดในสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,504.35 จุด ร่วงลง 445.41 จุด หรือ -1.86% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,783.36 จุด ลดลง 62.70 จุด หรือ -2.20% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,393.18 จุด ลดลง 122.56 จุด หรือ -1.44%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ โดยโกลด์แมน แซคส์เปิดเผยกำไรในไตรมาส 1 ดิ่งลง 46% สู่ระดับ 3.11 ดอลลาร์/หุ้น ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.35 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่แบงก์ ออฟ อเมริกาเปิดเผยกำไรร่วงลง 45% สู่ระดับ 40 เซนต์/หุ้น ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 46 เซนต์/หุ้น เนื่องจากธนาคารต้องเพิ่มการกันสำรองสำหรับหนี้เสียจำนวน 3.6 พันล้านดอลลาร์
ทางด้านซิตี้กรุ๊ปรายงานผลกำไรทรุดตัวลง 46% สู่ระดับ 1.05 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 1 ปีนี้ เมื่อเทียบกับระดับ 1.87 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากธนาคารต้องเพิ่มการกันสำรองสำหรับหนี้เสีย
ทั้งนี้ ผลประกอบการที่ย่ำแย่ของธนาคารรายใหญ่เหล่านี้ได้ฉุดหุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลง โดยหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 3.7% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส ดิ่งลง 4.9% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 6.49% หุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง 5.7% หุ้นแบล็คร็อค ร่วงลง 3.27% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ดิ่งลง 5.6% ส่วนหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปิดตลาดดีดตัวขึ้น 0.16% หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักในระหว่างวัน
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์คิงส์วิว อินเวสต์เมนท์ เมเนจเมนท์ ในเมืองชิคาโก กล่าวว่า ผลประกอบการที่ย่ำแย่ของธนาคารรายใหญ่เหล่านี้ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายอื่นๆ พร้อมกับกล่าวว่า สถานการณ์ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้านับว่าสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะมีบริษัทอีกหลายแห่งที่ทยอยกันเปิดเผยรายงานผลประกอบการ ซึ่งคาดว่าแนวโน้มจะออกมาซบเซา
หุ้นกลุ่มสายการบินปรับตัวผันผวน แม้มีรายงานว่า สายการบินรายใหญ่และกระทรวงการคลังของสหรัฐ ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นที่จะให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่อุตสาหกรรมการบินซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยหุ้นเดลต้า แอร์ไลน ปรับตัวลง 0.77% ขณะที่หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 3.1% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ บวก 2.9% ส่วนหุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ ร่วงลง 5.6%
หุ้นฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์รายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 4.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า พนักงานฝ่ายการผลิตจำนวนมากทั่วโลกของฮาร์ลีย์-เดวิดสันได้ถูกสั่งให้พักงาน นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้ปรับลดเงินเดือนพนักงานลงราว 10% - 20%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งหลุดจากระดับ 20 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 4.6% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 2.5% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ดิ่งลง 8.6% หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ร่วงลง 3.3%
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกทรุดตัวลง 8.7% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการดิ่งลงหนักที่สุดนับตั้งแต่ที่รัฐบาลเริ่มมีการเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวตั้งแต่ปี 2535 และย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะร่วงลง 8.0% หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนก.พ.
ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐดิ่งลง 5.4% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงหนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2489 หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.พ.
ทางด้านสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านดิ่งลง 42 จุด สู่ระดับ 30 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2555 โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนมี.ค., ดัชนีการผลิตเดือนเม.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนมี.ค.จาก Conference Board