ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (20 เม.ย.) โดยตลาดถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ทรุดตัวลงแตะระดับติดลบเป็นครั้งแรก ซึ่งได้ฉุดราคาหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงด้วย โดยปัจจัยดังกล่าวได้บดบังรายงานเชิงบวกที่ว่า รัฐบาลในหลายประเทศเตรียมผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมทั้งข่าวทำเนียบขาวและสภาคองเกรสใกล้บรรลุข้อตกลงในการปล่อยสินเชื่อรอบที่ 2 ให้กับธุรกิจรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,650.44 จุด ร่วงลง 592.05 จุด หรือ -2.44% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,823.16 จุด ลดลง 51.40 จุด หรือ -1.79% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,560.73 จุด ลดลง 89.41 จุด หรือ -1.03%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ทรุดตัวลงแตะระดับติดลบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มมีการซื้อขายสัญญาน้ำมันในตลาด NYMEX เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่า การที่รัฐบาลทั่วโลกใช้มาตรการล็อกดาวน์ จะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันทรุดตัวลง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากการที่คลังน้ำมันของสหรัฐกำลังกักเก็บน้ำมันใกล้เต็มความจุ ท่ามกลางภาวะน้ำมันล้นตลาด
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่ทรุดตัวลงนั้น ได้สกัดปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสใกล้บรรลุข้อตกลงในการปล่อยสินเชื่อรอบที่ 2 ให้กับธุรกิจรายย่อย อีกทั้งยังบดบังปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลในหลายประเทศเตรียมผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยล่าสุดรัฐบาลนิวซีแลนด์ประกาศลดระดับการใช้มาตรการที่เข้มงวดในการล็อกดาวน์ จากระดับ 4 สู่ระดับ 3 หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศเริ่มชะลอตัวลง ขณะที่รัฐบาลเยอรมนีได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เช่นกัน
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงอย่างหนักหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทรุดตัวลงแตะระดับติดลบ โดยหุ้นเชฟรอน ร่วงลง 4.16% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 4.7% หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ลดลง 0.38% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ดิ่งลง 7.63%
หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นพีจีแอนด์อี คอร์ปอเรชั่น ร่วงลง 2.37% หุ้นเอ็กเซลอน คอร์ปอเรชั่น ดิ่งลง 3.5% หุ้นเฟิร์สท์เอนเนอร์จี ร่วงลง 3.7% หุ้นดุ๊ค เอนเนอร์จี ดิ่งลง 3.8% หุ้นคอนโซลิเดทเต็ด เอดิสัน อิงค์ ร่วงลง 4.57%
หุ้นอินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส แมชชีน (IBM) ขยับขึ้น 0.26% แม้บริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ที่ระดับ 1.18 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.31 ดอลลาร์/หุ้น เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 1.59 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.78 ดอลลาร์/หุ้น
หุ้นโนวาร์ตีส พุ่งขึ้น 1.98% หลังจากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได้อนุมัติให้บริษัทโนวาร์ตีส ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาของสวิตเซอร์แลนด์ ทำการทดสอบว่า hydroxychloroquine ซึ่งเป็นยาต้านมาลาเรีย สามารถรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้หรือไม่ โดยโนวาร์ตีสมีแผนที่จะเริ่มใช้ยาดังกล่าวกับผู้ป่วยจำนวน 440 รายสำหรับการทดสอบในระยะที่ 3 ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าในสถานที่หลายแห่งในสหรัฐ และจะมีการรายงานผลการทดสอบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก เปิดเผยว่า ดัชนี Chicago Fed National Activity Index (CFNAI) ดิ่งลงสู่ระดับ -4.19 ในเดือนมี.ค. หลังจากแตะระดับ +0.06 ในเดือนก.พ. โดยดัชนี CFNAI เป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักตัวชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐจำนวน 85 รายการ ซึ่งดัชนี CFNAI ที่มีค่าเป็นบวกจะบ่งชี้ถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจที่สูงกว่าแนวโน้ม ขณะที่ดัชนี CFNAI ที่มีค่าเป็นลบจะบ่งชี้ถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าแนวโน้ม
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ค., ดัชนีราคาบ้านเดือนก.พ., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนเม.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนเม.ย.จากมาร์กิต, ยอดขายบ้านใหม่เดือนมี.ค., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน