ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (22 เม.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน รวมทั้งความหวังที่ว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะอนุมัติมาตรการวงเงินเกือบ 5 แสนล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ภายในสัปดาห์นี้ หลังจากวุฒิสภาสหรัฐได้ลงมติผ่านร่างมาตรการดังกล่าวไปแล้วเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,475.82 จุด เพิ่มขึ้น 456.94 จุด หรือ +1.99% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,799.31 จุด เพิ่มขึ้น 62.75 จุด หรือ +2.29% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,495.38 จุด เพิ่มขึ้น 232.15 จุด หรือ +2.81%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมัน หลังจากสัญญาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมิ.ย.ดีดตัวขึ้นเกือบ 20% ภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความขู่ว่าจะโจมตีเรือปืนอิหร่านทุกลำของอิหร่าน หากก่อให้เกิดอันตรายต่อเรือสหรัฐ
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนคาดหวังว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะให้การอนุมัติมาตรการเยียวยาวงเงิน 4.84 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กและโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งสนับสนุนให้เพิ่มการตรวจหาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยคาดว่า สภาผู้แทนราษฎรจะอนุมัติมาตรการดังกล่าวในวันพฤหัสบดีนี้ หลังจากวุฒิสภาสหรัฐมีมติเป็นเอกฉันท์ผ่านร่างมาตรการฉบับนี้ไปแล้วเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ทั้งนี้ มาตรการเยียวยาดังกล่าวครอบคลุมถึงการเพิ่มวงเงินให้กับโครงการ "Paycheck Protection Program" อีกกว่า 3.10 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปปล่อยกู้ให้กับธุรกิจขนาดเล็ก โดยมีวัตถุประสงค์ให้ธุรกิจเหล่านี้ยังสามารถจ้างงานต่อไปได้ อีกทั้งยังอัดฉีดเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ และสนับสนับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 วงเงิน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ด้วย
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ไพน์บริดจ์ อินเวสต์เมนท์ ในรัฐนิวยอร์ก กล่าวว่า หุ้นกลุ่มต่างๆทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ดีดตัวขึ้นขานรับความหวังเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาฉบับนี้ โดยนักลงทุนมองว่า มาตรการเยียวยาเศรษฐกิจในครั้งนี้มีความคืบหน้ารวดเร็วกว่าในช่วงที่ผ่านมา หลังจากแกนนำของทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันได้ร่วมมือกันผลักดันมาตรการดังกล่าวให้กลายเป็นรูปธรรม
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.8% หุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 3.4% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ทะยานขึ้น 10.3% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 14.2% หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ บวก 2.05%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 6.7% หุ้นอเมซอนดอทคอม บวก 1.5% หุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 3.4% หุ้นอินเทล พุ่งขึ้น 6.6% หุ้นแอปเปิล บวก 2.8% หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (เอเอ็มดี) พุ่งขึ้น 5.6% หุ้นอัลฟาเบท บวก 3.8%
หุ้นเท็กซัส อินสตรูเมนท์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 4.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 1 ที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีท
หุ้นคิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค พุ่งขึ้น 2.4% ขณะที่หุ้นชิโปเล่ เม็กซิกัน กริลล์ ซึ่งแบรนด์ร้านอาหารเม็กซิกันชื่อดัง ทะยานขึ้น 12.2% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยรายได้และยอดขายที่ดีเกินคาดในไตรมาส 1
อย่างไรก็ดี หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 2.9% เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มทางธุรกิจของผู้ให้บริการสตรีมมิ่งออนไลน์ยักษ์ใหญ่รายนี้ แม้ว่าทางบริษัทเผยยอดสมาชิกเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1 ก็ตาม
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ของสหรัฐ ระบุว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการจำนองลดลง 0.3% ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนเม.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนเม.ย.จากมาร์กิต, ยอดขายบ้านใหม่เดือนมี.ค., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน