ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 เม.ย.) ขานรับรายงานที่ว่า หลายรัฐในสหรัฐเริ่มคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐนิวยอร์กที่จะเริ่มเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจากที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเฟซบุ๊กและแอปเปิล รวมทั้งรอดูผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ด้วย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,133.78 จุด เพิ่มขึ้น 358.51 จุด หรือ +1.51% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,878.48 จุด เพิ่มขึ้น 41.74 จุด หรือ +1.47% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,730.16 จุด เพิ่มขึ้น 95.64 จุด หรือ +1.11%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ ขานรับการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของสหรัฐ โดยนายแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เปิดเผยว่า รัฐนิวยอร์กจะเริ่มเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจากที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
นายคูโอโมกล่าวว่า รัฐนิวยอร์กจะใช้กลยุทธ์เปิดเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยจะมีการเปิดภาคการก่อสร้างและการผลิตในเฟสแรก ส่วนเฟสสองจะมีการประเมินธุรกิจเป็นรายกรณี โดยขึ้นอยู่กับความสำคัญของธุรกิจดังกล่าว ทั้งนี้ แต่ละเฟสจะห่างกัน 2 สัปดาห์ เพื่อตรวจสอบผลกระทบของการเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง และสร้างความมั่นใจว่าอัตราผู้ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและผู้ติดเชื้อจะไม่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้มีรายงานว่า รัฐอลาสกา, จอร์เจีย, เซาธ์ แคโรไลนา, เทนเนสซี และเท็กซัส ก็ได้เริ่มให้ร้านอาหารกลับมาเปิดให้บริการแก่ลูกค้า
ทางด้านนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ หลังจากที่มีการเปิดเศรษฐกิจในเดือนพ.ค.และมิ.ย. พร้อมกับกล่าวว่า มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่รัฐบาลนำมาใช้นั้น จะส่งผลในเชิงบวกต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเชื่อว่า เมื่อภาคธุรกิจเริ่มกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง ภาวะอุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจก็จะฟื้นขึ้นด้วย
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ป ทะยานขึ้น 8.03% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 3.7% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 3.5% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่งขึ้น 4.3% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ทะยานขึ้น 5.8% หุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 5.5% หุ้นแบล็คร็อค พุ่งขึ้น 4.5%
หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ปรับตัวขึ้น 2.3% หลังจาก GM ประกาศระงับการจ่ายเงินปันผลและซื้อคืนหุ้น เพื่อสำรองเงินสดเอาไว้
หุ้นโลว์ส ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ และเป็นคู่แข่งของโฮมดีโปท์ ขยับขึ้น 0.5% แม้บริษัทคาดการณ์ว่าอาจจะประสบภาวะขาดทุนในไตรมาส 2 ปีนี้ อันเนื่องมาจากการถือหุ้นในบริษัทไดมอนด์ ออฟชอร์ ดริลลิ่ง ซึ่งได้ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 11 ของกฎหมายล้มละลาย เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 10.2% หลังจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เทสลาได้แจ้งให้พนักงานบางส่วนที่โรงงานในรัฐแคลิฟอร์เนียเตรียมกลับเข้าทำงานภายในสัปดาห์หน้า
นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น แอปเปิล เฟซบุ๊ก และอัลฟาเบท
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันพุธที่ 29 เม.ย.ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่วันของพฤหัสบดีที่ 30 เม.ย.ตามเวลาไทย โดยมีการคาดการณ์ว่า เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00-0.25%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้และอยู่ในความสนใจของนักลงทุน ได้แก่ สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมี.ค., ราคาบ้านเดือนก.พ.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จาก Conference Board, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2563 (ประมาณการเบื้องต้น), ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนมี.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมี.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนเม.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนเม.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนเม.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนมี.ค.