ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (28 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ก่อนที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงอัลฟาเบท เฟซบุ๊ก และไมโครซอฟท์ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของสหรัฐ และผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการแถลงในวันพุธที่ 29 เม.ย.ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ 30 เม.ย.ตามเวลาไทย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,101.55 จุด ลดลง 32.23 จุด หรือ -0.13% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,863.39 จุด ลดลง 15.09 จุด หรือ -0.52% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,607.73 จุด ลดลง 122.43 จุด หรือ -1.40%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง โดยหุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ร่วงลง 3.01% หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 2.45% หุ้นอเมซอนดอทคอม ดิ่งลง 2.6% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 2.44% หุ้นอินเทล ลดลง 1.2% หุ้นแอปเปิล ปรับตัวลง 1.6% หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (เอเอ็มดี) ลดลง 1.7%
นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ก่อนที่บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งจะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ โดยอัลฟาเบทมีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการหลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการเมื่อคืนนี้ ขณะที่เฟซบุ๊ก และไมโครซอฟท์ จะเปิดเผยผลประกอบการในวันพุธ ส่วนแอปเปิล และอเมซอนดอทคอม จะเปิดเผยผลประกอบการในวันพฤหัสบดี
ด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์อินเวอร์เนส คอนเซล ในรัฐนิวยอร์กได้แสดงความเห็นว่า นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และหันไปช้อนซื้อหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนักในช่วงก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขาย พร้อมกับจับตาสถานการณ์การคลายมาตรการล็อกดาวน์และการเปิดเศรษฐกิจในสหรัฐว่าจะมีความคืบหน้าเพียงใด หลังจากข้อมูลล่าสุดระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐพุ่งขึ้นทะลุระดับ 1 ล้านรายแล้วในขณะนี้ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในโลก
หุ้น 3M พุ่งขึ้น 2.66% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 1 ที่ระดับ 2.16 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.03 ดอลลาร์/หุ้น โดยได้อานิสงส์จากความต้องการหน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
หุ้นเป๊ปซี่โค ปรับตัวขึ้น 1.38% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรพุ่งขึ้น 10% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 1.07 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.03 ดอลลาร์/หุ้น โดยได้แรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคแห่ซื้อเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว เนื่องจากต้องใช้เวลาอยู่แต่ในบ้านมากขึ้น ตามมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ปรับตัวขึ้น 0.23% แม้บริษัทเปิดเผยตัวเลขยอดขายดิ่งลง 21% ในไตรมาส 1 โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งได้ฉุดอุปสงค์ในภาคก่อสร้างและเหมืองแร่
หุ้นไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ร่วงลง 1.1% แม้ว่าบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 1 ที่ระดับ 80 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 73 เซนต์/หุ้น นอกจากนี้ ไฟเซอร์ยังได้ยืนยันตัวเลขคาดการณ์รายได้ทั้งปีนี้ ขณะที่บริษัทกำลังพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 โดยคาดว่าจะสามารถผลิตวัคซีนหลายล้านโดสภายในปลายปีนี้
หุ้นยูไนเต็ด พาร์เซิล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 6% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไรที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 1
หุ้นสายการบินเซาธ์เวสต์ แอร์ไลน์ ดีดตัวขึ้น 1.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุน 94 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1 อย่างไรก็ดี นักลงทุนมองว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ถือว่าแย่จนเกินไป
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดิ่งลงสู่ระดับ 86.9 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 118.8 ในเดือนมี.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 87.9
ขณะที่ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐพุ่งขึ้น 4.2% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว หลังจากที่เพิ่มขึ้น 3.9% ในเดือนม.ค.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2563 (ประมาณการเบื้องต้น), ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนมี.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมี.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนเม.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนเม.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนเม.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนมี.ค.
นักลงทุนจับตาผลการประชุมเฟดซึ่งจะมีการแถลงในวันพุธที่ 29 เม.ย.ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ 30 เม.ย.ตามเวลาไทย โดยคาดว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00-0.25% นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งจะจัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงิน