ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (30 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเพื่อทำกำไรหลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่ซบเซา และการรายงานผลประกอบการที่ไร้ทิศทาง อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ และดัชนี S&P500 ปิดตลาดเดือนเม.ย.ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 33 ปี โดยได้แรงหนุนจากการคาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นในเร็วๆ นี้ หลังได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,345.72 จุด ลดลง 288.14 จุด หรือ -1.17%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,912.43 จุด ลดลง 27.08 จุด หรือ -0.92% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,889.55 จุด ลดลง 25.16 จุด หรือ -0.28%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันพฤหัสบดี แต่ดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นในเดือนเม.ย.มากที่สุดเมื่อคิดเป็นเปอร์เซนต์นับตั้งแต่เดือนม.ค. 2530 และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นในเดือนเม.ย.มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2543
แต่ดัชนีทั้ง 3 ตัวยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้ในเดือนก.พ.อยู่ราว 20% แม้ดัชนีได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่มาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักลง
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ นำโดยกลุ่มวัสดุและกลุ่มการเงินซึ่งร่วงลงหนักที่สุด ขณะที่หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่มบริการด้านการสื่อสาร ปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด
หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ร่วง 4.91% หลังเปิดเผยผลประกอบรายไตรมาสขาดทุนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2556
หุ้นแอปเปิล, หุ้นอเมซอน.คอม และหุ้นเฟซบุ๊ก ปรับตัวลงในการซื้อขายหลังจากปิดตลาด
แอปเปิล อิงค์ รายงานหลังปิดตลาดว่า ยอดขายในไตรมาส 2 ของปีงบการเงินที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.83 หมื่นล้านดอลลาร์ และรายงานผลกำไรที่ 2.55 ดอลลาร์ต่อหุ้นเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสูงกว่าที่บรรดานักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 5.45 หมื่นล้านดอลลาร์ และ 2.27 ดอลลาร์ต่อหุ้น
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ MNI Indicators เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโก ร่วงลงสู่ระดับ 35.4 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2552 จากระดับ 47.8 ในเดือนมี.ค.
ดัชนี PMI เขตชิคาโกอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะหดตัว โดยได้รับผลกระทบจากการลดลงของคำสั่งซื้อใหม่ การจ้างงาน และการผลิต ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 3.84 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.5 ล้านราย
ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานโดยรวมพุ่งขึ้นสู่ระดับ 30.3 ล้านรายแล้ว นับตั้งแต่ที่สหรัฐประกาศล็อกดาวน์ในรัฐต่างๆ ในช่วงครึ่งหลังของเดือนมี.ค.เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ส่วนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐดิ่งลง 7.5% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บรวบรวมข้อมูลในปี 2502 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าอาจลดลง 5.1%
หากปรับค่าตามเงินเฟ้อ การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐดิ่งลง 7.3% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
รายได้ส่วนบุคคลลดลง 2% ในเดือนมี.ค. และค่าจ้างและเงินเดือนร่วงลง 3.1% ขณะที่อัตราการออมพุ่งขึ้นสู่ระดับ 13.1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 39 ปี จากระดับ 8% ในเดือนก.พ.