ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 300 จุดในวันนี้ แม้มีการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่ซบเซา ขณะที่นักลงทุนมองว่าภาวะย่ำแย่ที่สุดที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ตลาดได้รับแรงหนุนจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของสหรัฐ และประเทศต่างๆ รวมทั้งการดีดตัวขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งได้พุ่งขึ้นมากกว่า 20% ในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่เจ้าหน้าที่การค้าของทั้งสองประเทศยืนยันความร่วมมือในการส่งเสริมเศรษฐกิจมหภาคเพื่อเอื้ออำนวยต่อการดำเนินการตามข้อตกลงการค้าเฟสแรก
ณ เวลา 21.01 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,216.16 จุด บวก 340.27 จุด หรือ 1.43%
หุ้นกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจสหรัฐอีกครั้ง ได้ปรับตัวขึ้นในการซื้อขายวันนี้
ทั้งนี้ นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน และหัวหน้าคณะเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ในวันนี้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่าจะร่วมมือกันในการส่งเสริมเศรษฐกิจมหภาคเพื่อสร้างบรรยากาศและภาวะต่างๆ ที่เอื้ออำนวยกับการดำเนินการตามข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างจีนและสหรัฐ
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐยังได้ตกลงร่วมกันว่า ทั้งสองฝ่ายจะยังคงติดต่อสื่อสารและประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้ข้อตกลงการค้าเฟสแรกซึ่งจีนและสหรัฐได้ลงนามร่วมกันเมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมานั้น จีนได้ตกลงที่จะเพิ่มคำสั่งซื้อสินค้าและบริการจากสหรัฐในช่วง 2 ปีข้างหน้าอีกอย่างน้อย 2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงสินค้าเกษตรมูลค่า 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคาดว่าการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยให้สหรัฐลดการขาดดุลการค้ากับจีน
นอกจากนี้ ข้อตกลงดังกล่าวยังระบุด้วยว่า จีนได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเปิดเสรีภาคบริการการเงิน รวมทั้งแก้ไขประเด็นที่จีนถูกกล่าวหาเกี่ยวกับการบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี และการปั่นค่าเงินเพื่อหนุนการส่งออก
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรดิ่งลง 20.5 ล้านตำแหน่งในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นตัวเลขการจ้างงานที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ
อย่างไรก็ดี ตัวเลขการจ้างงานในเดือนเม.ย.ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะร่วงลง 21.5 ล้านตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นสู่ระดับ 14.7% ในเดือนเม.ย. ซึ่งสูงกว่าระดับ 10.8% ซึ่งเป็นอัตราการว่างงานสูงสุดในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ต่ำกว่าระดับ 24.9% ซึ่งเป็นตัวเลขอัตราการว่างงานในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ส่วนตัวเลขอัตราการว่างงานสูงสุดในช่วงเกิดวิกฤตการเงินในเดือนต.ค.2552 อยู่ที่ระดับ 10%
ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราการว่างงานจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 16% ในเดือนเม.ย. หลังจากอยู่ที่ระดับ 4.4% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2560 ขณะที่แตะระดับ 3.5% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี
การทรุดตัวลงของตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรมีสาเหตุจากการที่ภาคธุรกิจได้พากันปิดกิจการ จากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้มีการปลดพนักงานจำนวนมาก
ทั้งนี้ จำนวนคนว่างงานในเดือนเม.ย.พุ่งสู่ระดับ 23.1 ล้านราย เพิ่มขึ้น 15.9 ล้านรายเมื่อเทียบกับเดือนมี.ค.