ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (8 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน หลังจากที่เจ้าหน้าที่ของสองประเทศได้หารือกันทางโทรศัพท์เกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเฟสแรก นอกจากนี้ นักลงทุนยังได้แรงหนุนจากการที่ประเทศต่างๆ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.91% ปิดที่ 341.05 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 10,904.48 จุด เพิ่มขึ้น 145.21 จุด หรือ +1.35% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,549.64 จุด เพิ่มขึ้น 48.20 จุด หรือ +1.07%
ส่วนตลาดหุ้นลอนดอนปิดทำการวานนี้ (8 พ.ค.) เนื่องจากเป็นวันหยุดธนาคารของอังกฤษ
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นโดยได้แรงหนุนจากรายงานข่าวว่า นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน และหัวหน้าคณะเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐในช่วงเช้าวันศุกร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ของจีนและสหรัฐได้ตกลงกันว่าจะร่วมมือกันในการส่งเสริมเศรษฐกิจมหภาคและสาธารณสุข สร้างบรรยากาศและภาวะต่างๆ ที่เอื้ออำนวยกับการดำเนินการตามข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างจีนและสหรัฐ รวมทั้งการเร่งให้เกิดผลลัพธ์ในด้านบวก
ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน
หุ้น ING Groep NV ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์ พุ่งขึ้น 3.6% หลังเปิดเผยผลกำไรก่อนหักภาษีมากกว่าคาดในไตรมาสแรก
หุ้นซีเมนส์ของเยอรมนี พุ่ง 4.8% หลังประกาศแผนลดต้นทุนเพื่อรับมือกับผลกระทบของโรคระบาด หลังผลกำไรด้านอุตสาหกรรมร่วงลง 18% ในไตรมาส 2
หุ้นกลุ่มรถยนต์ซึ่งพึ่งพาจีนอย่างมากในฐานะตลาดส่งออกและศูนย์กลางการผลิตนั้น นำตลาดปรับตัวขึ้น
หุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานปรับตัวขึ้นมากที่สุดในสัปดาห์นี้ โดยได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการเปิดเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศต่างๆ และการที่จีนเปิดเผยข้อมูลการค้าที่แข็งแกร่งเกินคาดนั้น ได้ช่วยหนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นด้วย
หุ้นไฮเดลเบิร์กซีเมนต์, หุ้นคอนติเนนทัล และหุ้นเดมเลอร์ของเยอรมนี ปรับตัวขึ้น 5.61%, 5.55% และ 5.18% ตามลำดับ ขณะที่หุ้นเปอโยต์ของฝรั่งเศส ปรับตัวขึ้น 3.75%