ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (13 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดรอบใหม่ของโรคโควิด-19 หลังจากประเทศต่างๆ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตือนว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับความไม่แน่นอน และมีความเสี่ยงในช่วงขาลงนั้น ได้ส่งผลกดดันตลาดลงด้วย
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 1.94% ปิดที่ 333.97 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 10,542.66 จุด ลดลง 276.84 จุด หรือ -2.56%, ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,344.95 จุด ลดลง 127.54 จุด หรือ -2.85% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,904.05 จุด ลดลง 90.72 จุด หรือ -1.51%
หุ้นกลุ่มการเดินทาง, กลุ่มบริษัทผลิตรถยนต์ และกลุ่มธนาคารนำตลาดร่วงลง เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นออกมา ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดรอบสองของโรคโควิด-19 หลังประเทศต่างๆ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
ตลาดยังถูกกดดันหลังจากนายพาวเวลระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับความไม่แน่นอน และมีความเสี่ยงในช่วงขาลง ซึ่งทำลายความหวังของนักลงทุนที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ การเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียนในยุโรปถ่วงตลาดลงด้วย
หุ้นคอมเมิร์ซแบงก์ของเยอรมนี ร่วง 7.1% และหุ้นเอบีเอ็น แอมโรของเนเธอร์แลนด์ ร่วง 9.1% หลังเปิดเผยผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสแรก เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้น
หุ้นดอยซ์ แบงก์ ร่วง 6.4% จากข่าวที่ว่า ผู้จัดการระดับสูงของธนาคารจะไม่รับเงินเดือนประจำ 1 เดือนอันเป็นความพยายามที่จะลดต้นทุน
หุ้นแอชตัน มาร์ติน ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์หรูของอังกฤษ ดิ่งลง 16% หลังเปิดเผยผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสแรก เนื่องจากยอดขายร่วงลงเกือบ 1 ใน 3 จากผลกระทบของวิกฤตโควิด-19