ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 พ.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นธนาคารรายใหญ่ที่ถูกเทขายในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 9% ซึ่งคำสั่งซื้อที่ส่งเข้าหนุนหุ้นทั้งสองกลุ่มได้ช่วยพยุงตลาดขึ้นปิดในแดนบวก หลังจากที่ถูกกดดันในช่วงแรกจากรายงานตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานในสหรัฐที่สูงเกินคาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,625.34 จุด เพิ่มขึ้น 377.37 จุด หรือ +1.62% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,852.50 จุด เพิ่มขึ้น 32.50 จุด หรือ +1.15% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,943.72 จุด เพิ่มขึ้น 80.56 จุด หรือ +0.91%
ในช่วงแรกนั้น ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 2.981 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.5 ล้านราย
ขณะที่ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานโดยรวมพุ่งขึ้นเกือบ 36.5 ล้านราย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 4 ของประชากรในวัยทำงานทั้งหมดของสหรัฐ นับตั้งแต่ที่สหรัฐประกาศล็อกดาวน์ในรัฐต่างๆในช่วงครึ่งหลังของเดือนมี.ค.เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ รวมทั้ง S&P500 และ Nasdaq ดีดตัวขึ้นในช่วงบ่าย หลังจากนักลงทุนเข้ามาช้อนซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยหุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ทะยานขึ้น 6.8% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่งขึ้น 4.15% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 4.02% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ดีดขึ้น 3.6% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ บวก 1.5% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส พุ่งขึ้น 7.4%
นักวิเคราะห์จากบริษัททีดี อเมริเทรด กล่าวว่า นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารซึ่งร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ซบเซาและการคาดการณ์เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยติดลบ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของภาคธนาคาร
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ WTI โดยหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 4.3% หุ้นเชฟรอน บวก 1.5% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม พุ่งขึ้น 2.38% หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ พุ่งขึ้น 2.79% หุ้นเอ็กซอน โมบิล บวก 0.86%
หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ พุ่งขึ้น 4.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 1 ขณะที่หุ้นนอร์เวย์เจียน ครูซ ไลน์ส ทะยานขึ้น 4.4% หลังจากบริษัทยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มธุรกิจ แม้ผลประกอบการออกมาต่ำกว่าคาดก็ตาม
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนพ.ค.จากเฟดนิวยอร์ก, การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนมี.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน