ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่จีนเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตพุ่งขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ ซึ่งได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ แต่ตลาดปรับตัวลงในรอบสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,799.77 จุด เพิ่มขึ้น 58.23 จุด หรือ +1.01%
ตลาดปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนขานรับจีนเปิดเผยข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนเม.ย. โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นดัชนีวัดภาวะเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนนั้น กลับมาขยายตัวอีกครั้งในเดือนเม.ย. เนื่องจากกิจกรรมการผลิตที่โรงงานต่างๆ ได้เริ่มฟื้นตัวขึ้น หลังจากรัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ที่เคยบังคับใช้ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดอย่างหนัก
รายงานของ NBS ระบุว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.ปรับตัวขึ้น 3.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งดีดตัวขึ้นหลังจากที่ปรับตัวลง 1.1% ในเดือนมี.ค. และทรุดตัวลง 13.5% ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น โดยหุ้นริโอ ทินโต พุ่ง 4.39%, หุ้นเกล็นคอร์ พุ่ง 3.89%, หุ้นบีเอชพี พุ่ง 4.28%, หุ้นเชลล์ บวก 1.99% และหุ้นบีพี เพิ่มขึ้น 0.02%
ด้านนักวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดหุ้นลอนดอนดีดตัวขึ้นจากการร่วงลงในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนส่วนใหญ่จากการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลาง และความหวังที่ว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะฟื้นตัวเป็นรูปตัว V