ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (18 พ.ค.) โดยปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค. เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร็วขึ้นจากภาวะถดถอยที่เกิดจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 และตลาดยังได้แรงหนุนจากข่าวความคืบหน้าในการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ด้วย
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,048.59 จุด พุ่งขึ้น 248.82 จุด หรือ +4.29%
ตลาดปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังว่า เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากประเทศต่างๆ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และมีรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
บริษัท Moderna Inc ซึ่งเป็นบริษัทในธุรกิจไบโอเทคของสหรัฐแถลงว่า ผลการทดลองทางคลินิกในการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้ร่างกายของอาสาสมัครสามารถผลิตแอนตีบอดีซึ่งสามารถกำจัดเชื้อไวรัสในผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ (NIH) ระบุว่า ระดับของแอนตีบอดีดังกล่าวเท่ากับในตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยที่ฟื้นตัวจากโรคโควิด-19
Moderna ระบุว่า วัคซีนดังกล่าว ซึ่งมีชื่อว่า mRNA-1273 มีความปลอดภัย และตอบสนองได้ดีในการทดลองในช่วงแรก และเปิดเผย บริษัทจะเริ่มการทดลองในขั้นต่อไปในเดือนก.ค.
หุ้นบีพี และหุ้นเชลส์ พุ่งขึ้น มากกว่า 8% โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือน หลังมีสัญญาณบ่งชี้ว่า อุปสงค์น้ำมันฟื้นตัวขึ้น
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ทะยานขึ้นด้วย โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์
แต่หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นน้อยที่สุด หลังมีรายงานข่าวว่า หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางอังกฤษระบุว่า ธนาคารกลางกำลังพิจารณาอย่างเร่งด่วนที่จะใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
หุ้นไรอันแอร์ โฮลดิงส์ พุ่งขึ้น 15.8% หลังประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับลดต้นทุนลงอย่างมาก และให้คำมั่นว่าจะกลับไปดำเนินงานอย่างเต็มศักยภาพ และจะขยายธุรกิจการบิน