ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (22 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นที่ทำธุรกิจในเอเชียออกมา ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการที่จีนเสนอกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติเพื่อบังคับใช้กับฮ่องกง ซึ่งได้สร้างความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนด้วย
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,993.28 จุด ลดลง 21.97 จุด หรือ -0.37%
ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนได้เทขายหุ้นออกมาท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดมากขึ้นระหว่างสหรัฐ-จีน หลังนายหวัง เฉิน รองประธานคณะกรรมาธิการประจำสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ได้เสนอกฎหมายใหม่ในวันศุกร์ (22 พ.ค.) ที่ระบุให้ฮ่องกงต้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติโดยเร็วภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับย่อซึ่งเป็นกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกง
การดำเนินการดังกล่าวของจีนสร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเตือนก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐจะตอบโต้จีน หากจีนใช้มาตรการเพื่อจัดการกับผู้ประท้วง และจำกัดการเคลื่อนไหวตามระบอบประชาธิปไตยในฮ่องกง
นอกจากนี้ การที่จีนระงับการกำหนดเป้าหมายการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำปีนี้ ทำให้นักลงทุนกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ตลาดยังถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลยอดค้าปลีกของอังกฤษที่ร่วงลงหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนเม.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอังกฤษในช่วงต้นเดือนพ.ค.ดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก
หุ้นกลุ่มธนาคารที่เน้นทำธุรกิจในเอเชีย ปรับตัวลง โดยหุ้นเอสเอชบีซี ร่วงลง 5% สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2552 จากความตึงเครียดเกี่ยวกับประเด็นฮ่องกง ขณะที่หุ้นพรูเดนเชียล ร่วงลง 9.3%
หุ้น IAG เจ้าของสายการบินบริติช แอร์เวย ร่วง 7% และหุ้นอีซี เจ็ต ร่วง 3% หลังอังกฤษออกมาตรการกักกันผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย.นี้