ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (28 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนส่งคำสั่งขายเข้ามาในช่วงท้ายตลาด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ เปิดเผยว่า เขาจะประกาศนโยบายฉบับใหม่ของสหรัฐที่จะดำเนินการกับจีนในวันนี้ เนื่องจากไม่พอใจที่จีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ในฮ่องกง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ หลังจากปธน.ทรัมป์ลงนามในคำสั่งทบทวนกฎหมายคุ้มครองบริษัทโซเชียลมีเดีย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,400.64 จุด ลดลง 147.63 จุด หรือ -0.58% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,029.73 จุด ลดลง 6.40 จุด หรือ -0.21% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 9,368.99 จุด ลดลง 43.37 จุด หรือ -0.46%
ในช่วงแรกนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กเคลื่อนไหวในแดนบวก ขานรับความหวังที่ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะฟื้นตัวขึ้นหลังจากรัฐบาลของประเทศต่างๆเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพื่อเปิดทางให้ภาคธุรกิจกลับมาดำเนินการอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี นักลงทุนได้ส่งคำสั่งขายเข้ามาในช่วงท้ายตลาด หลังจากปธน.ทรัมป์เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เขาจะประกาศนโยบายฉบับใหม่ของสหรัฐที่จะดำเนินการกับจีนในวันนี้ หลังจากที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) มีมติเห็นชอบให้มีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ในฮ่องกง
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า "เราจะประกาศนโยบายที่เราจะดำเนินการกับจีนในวันศุกร์นี้ เราไม่พอใจในสิ่งที่จีนทำ การกระทำดังกล่าวของจีนเท่ากับเป็นการปล้นเสรีภาพของชาวฮ่องกง เราไม่สามารถหลับหูหลับตาให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ และเราจำเป็นต้องจัดการกับเรื่องนี้ ชาวฮ่องกงไม่ควรถูกปฏิบัติจากจีนแบบเดิมๆ อีกต่อไป" ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าว พร้อมกับกล่าวทิ้งท้ายว่า "จีนทำผิดอย่างมหันต์"
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานข่าวที่ว่า ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษเพื่อสั่งการให้คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐ (FCC) ดำเนินการทบทวนเนื้อหาในมาตรา 230 ของกฎหมาย "Communications Decency Act" ซึ่งเป็นกฎหมายที่ช่วยให้แพลตฟอร์มออนไลนได้รับการยกเว้นจากพันธกรณีทางกฎหมายในกรณีที่ผู้ใช้งานโพสต์ข้อความต่างๆ ลงบนแพลตฟอร์ม
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า คำสั่งของเขาจะนำไปสู่การกำหนดกฎระเบียบใหม่ภายใต้กฎหมาย "Communications Decency Act" เพื่อกำหนดให้บริษัทโซเชียลมีเดียที่ทำการเซนเซอร์หรือกระทำการใดๆ ที่มีแรงจูงใจทางการเมืองนั้น ไม่สามารถได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายดังกล่าวได้อีกต่อไป
ทั้งนี้ หุ้นบริษัทโซเชียลมีเดียร่วงลงจากรายงานข่าวดังกล่าว โดยหุ้นทวิตเตอร์ ดิ่งลง 4.45% หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 1.61%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง แม้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 2.6% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 3.23% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ดิ่งลง 5.4% หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ปรับตัวลง 1.2% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ลบ 0.74%
หุ้นโบอิ้ง ขยับขึ้น 0.2% หลังจากบริษัทประกาศเปิดสายการผลิตเครื่องบินรุ่น 737 MAX อีกครั้ง ที่โรงงานในเมืองเรนตัน รัฐวอชิงตัน
หุ้นเจซี เพนนีย์ ห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 7.05% หลังจากทางบริษัทได้กลับมาเปิดสาขาอีกจำนวน 150 สาขาใน 27 รัฐ ส่งผลให้ขณะนี้บริษัทเปิดสาขารวม 304 สาขาในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์โควิด-19
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2563 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลง 5% ซึ่งย่ำแย่กว่าที่ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ระบุว่าหดตัวลง 4.8% โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล ซึ่งทำให้มีการปิดเศรษฐกิจเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
กระทรวงพาณิชย์ยังรายงานด้วยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ดิ่งลง 17.2% ในเดือนเม.ย. หลังจากร่วงลง 16.6% ในเดือนมี.ค.
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 2.1 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.05 ล้านราย
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนเม.ย., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน