ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 100 จุดในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนรอการแถลงข่าวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เกี่ยวกับมาตรการตอบโต้จีน หลังจากที่จีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่สำหรับฮ่องกง
ณ เวลา 20.44 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,290.06 จุด ลบ 110.58 จุด หรือ 0.44%
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์จะจัดการแถลงข่าวในวันนี้เพื่อประกาศนโยบายใหม่ของสหรัฐที่จะดำเนินการต่อจีน โดยจะเป็นการตอบโต้จีนต่อการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่สำหรับฮ่องกง
อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวยังไม่ได้เปิดเผยกำหนดเวลาที่ปธน.ทรัมป์จะจัดการแถลงข่าวดังกล่าว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษเพื่อสั่งการให้คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐ (FCC) ดำเนินการทบทวนเนื้อหาในมาตรา 230 ของกฎหมาย "Communications Decency Act" ซึ่งเป็นกฎหมายที่ช่วยให้แพลตฟอร์มออนไลน์ได้รับการยกเว้นจากข้อผูกพันทางกฎหมายในกรณีที่ผู้ใช้งานโพสต์ข้อความต่างๆ ลงบนแพลตฟอร์ม
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า คำสั่งของเขาจะนำไปสู่การกำหนดกฎระเบียบใหม่ภายใต้กฎหมาย "Communications Decency Act" เพื่อกำหนดให้บริษัทโซเชียลมีเดียที่ทำการเซ็นเซอร์หรือกระทำการใดๆ ที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ไม่สามารถได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายดังกล่าวได้อีกต่อไป
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวระบุว่า รัฐบาลสหรัฐมีแผนที่จะยกเลิกวีซ่าของนักวิจัยของจีน รวมทั้งนักศึกษาจีนจำนวนหลายพันคนที่จบการศึกษาในสหรัฐ และมีความเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยของจีนที่มีความสัมพันธ์กับกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA)
การดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อนักศึกษาจีนจำนวน 3,000-5,000 คนจากทั้งหมดที่กำลังศึกษาในสหรัฐจำนวน 360,000 คน ซึ่งนักศึกษาจีนที่ถูกยกเลิกวีซ่าจะต้องเดินทางกลับประเทศ และผู้ที่อาศัยอยู่นอกสหรัฐจะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับเข้าสหรัฐ
สื่อรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐอาจประกาศเรื่องดังกล่าวในสัปดาห์นี้
แหล่งข่าวระบุว่า เป้าหมายของการดำเนินการในครั้งนี้ก็เพื่อกวาดล้างการจารกรรมและขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งชาวจีนอาจกระทำผ่านมหาวิทยาลัยของสหรัฐ
นอกจากนี้ นักลงทุนจะจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะเข้าร่วมการเสวนาผ่านระบบออนไลน์ในวันนี้ โดยคาดว่านายพาวเวลจะกล่าวถึงมาตรการของเฟดในการรับมือผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐ (BEA) รายงานในวันนี้ว่า อัตราการออมส่วนบุคคลของชาวอเมริกันพุ่งแตะระดับ 33% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ที่ทางสำนักงานเริ่มรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในช่วงทศวรรษ 1960
ทั้งนี้ อัตราการออมดังกล่าวเป็นการวัดระดับการออมเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซนต์กับรายได้ที่สามารถใช้จ่ายได้
นอกจากนี้ อัตราการออมที่ระดับ 33% ในเดือนเม.ย. สูงกว่าการออมในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลก
ระดับอัตราการออมสูงสุดก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับ 17.3% ที่ทำไว้ในเดือนพ.ค.1975 ขณะที่อัตราการออมในเดือนมี.ค.อยู่ที่ระดับ 12.7%
นักวิเคราะห์ระบุว่า การที่อัตราการออมพุ่งเป็นประวัติการณ์ในเดือนเม.ย. มีสาเหตุจากการที่รัฐบาลประกาศมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้ร้านค้าจำนวนมากต้องปิดตัวลง และทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากผู้บริโภคยังคงเก็บออมเงินต่อไป แทนที่จะนำเงินไปลงทุน สิ่งนี้ก็จะเป็นปัจจัยกดดันอัตราดอกเบี้ย และจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ