ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (3 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐและจีนซึ่งเป็นสองประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีเกินคาด ซึ่งบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,382.41 จุด พุ่งขึ้น 162.27 จุด หรือ +2.61%
ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยหนุนหลังจากสหรัฐและจีนเปิดเผยข้อมูลดัชนีภาคบริการเพิ่มขึ้นเกินคาด ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจได้ฟื้นตัวขึ้นแล้วจากผลกระทบของโรคโควิด-19 โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 45.4 ในเดือนพ.ค. หลังจากดิ่งลงแตะ 41.8 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการหดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2552 และเป็นการหดตัวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2552 โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าดัชนีภาคบริการของสหรัฐอาจดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 44.0 ในเดือนพ.ค.
ส่วนดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีนซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซิน อยู่ที่ระดับ 55 ในเดือนพ.ค. พุ่งขึ้นจากระดับ 44.4 ในเดือนเม.ย. โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวขึ้นหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศจีนเริ่มลดน้อยลง
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่า ภาคบริการของจีนมีการขยายตัว
ข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นมากขึ้นว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะฟื้นตัวเร็วกว่าคาดเช่นกัน หลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ลงแล้ว
หุ้นเอชเอสบีซีพุ่งขึ้นมากที่สุด โดยปรับตัวขึ้นมากกว่า 4% หลังนายปีเตอร์ หว่อง ผู้จัดการทั่วไปของเอชเอสบีซีประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้ลงนามสนับสนุนจีนในการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกง
หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ และหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 4.4% และ 3.3% ตามลำดับ เนื่องจากความหวังที่ว่าอุปสงค์น้ำมันที่เพิ่มขึ้น และการปรับลดการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปก ได้ช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบ